ตอนที่ 1
เรริน อาจารย์สาวผู้เชี่ยวชาญเรื่องผ้าทอ เธอกำลังจัดแสดงผลงานผ้าทอร่วมสมัยฝีมือของเธอเอง ที่แกลเลอรี่แห่งหนึ่ง โดยมีธนินทร์คู่หมั้นเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง
เมื่อลูกค้าต่างชาติคนหนึ่งสนใจผ้าทอผืนงามที่เป็นไฮไลต์ของงาน เข้ามาคุยกับธนินทร์ เขาเสนอราคาสูงถึงแปดพันยูเอส ทำให้ธนินทร์ตาโตด้วยหวังงาบเปอร์เซ็นต์ เขาหันไปมองเรรินที่กำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวทีวีอยู่
“ดิฉันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าเสียดายค่ะ ถ้างานผ้าทอมือจะต้องสูญหายไป เพราะผ้าทอผืนหนึ่งบอกเล่าอะไรๆได้มากมาย ทั้งศรัทธา ความเชื่อ ชีวิตความเป็นอยู่ สังคมของกลุ่มคนที่ทอผ้านั้นๆ ดิฉันเชื่อว่าผ้าทอทุกผืนมีชีวิตจิตใจ เพราะอย่างน้อยที่สุดกว่าผ้าซักผืนหนึ่งจะทอเสร็จ คนที่ทอจะต้องใส่หัวใจ และความรักที่จะทอลงไปในผ้าทอผืนนั้นค่ะ”
เรรินพูดจบ ธนินทร์ก็เข้ามาคว้าตัวพาไปพบลูกค้าชาวต่างชาติ เพื่อเจรจาซื้อขายผ้าทอผืนงาม แต่เรรินปฏิเสธไม่ยอมขาย
ธนินทร์เข้าใจว่าเรรินต้องการโก่งราคา จึงหันไปบอก กับลูกค้าว่า ขอเพิ่มเป็นหนึ่งพันยูเอส เรรินได้ฟังก็โกรธสวนทันทีว่า เธอไม่ขายผ้าผืนนั้นอย่างแน่นอน แล้วเดินหนีไปด้วย อารมณ์ขุ่นมั่ว
“ริน...ริน” ธนินทร์ร้องเรียก ขณะที่ลูกค้าต่างชาติเบ้ปากใส่
เวลาเดียวกันนั้น วันดาราก็พาคนงานจากรีสอร์ตมาช่วยทำความสะอาดบ้านให้บัวเงินผู้มีศักดิ์เป็นย่า ส่วนตัวเธอเข้าไปนำผ้าซิ่นโบราณที่บัวเงินเก็บไว้ออกมาคลี่พึ่งลม พลางพูดชื่นชมเพราะไม่เคยเห็นผ้าที่ไหนงามเท่า
บัวเงินที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้โยกตรงมุมโปรด เห็นอาการวันดาราก็ตำหนิ “รื้อออกมาทำไมให้มันรกบ้านช่อง เจ้านี่จุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องนะวันดารา ข้าให้มาช่วยทำความสะอาดเรือนเฉยๆ ไม่ใช่ให้มารื้อข้าวของของข้า”
“แต่ผ้าเก่าพวกนี้ต้องเอาออกผึ่งลมบ้างนะเจ้าคุณย่า ไม่อย่างนั้นมันจะกินตัว”
“มันจะกินตัวผุพังยังไงก็ช่างมัน” บัวเงินไม่ใส่ใจนัก
วันดาราสบโอกาสเอ่ยปากขอผ้าไปดูแลเอง แต่บัวเงินไม่ยอมอ้างว่า กลัววันดาราจะเอาผ้าไปขาย
“ข้าเจ้าบ่ได้คิดจะเอาไปขาย แค่อยากจะนำไปเก็บ ฮักษาไว้ให้ดี ให้ละอ่อนรุ่นหลังได้ศึกษาชื่นชมบ้างเท่านั้นเองเจ้าคุณย่า”
“ให้พูดหวานหูดูดียังไง ข้าก็บ่เชื่อเจ้าดอก เพราะสมบัติทุกชิ้นของข้า ข้าจะยกให้หลานชายข้าคนเดียว” ขาดคำ สุริยวงศ์ก็ขึ้นเรือนมาพอดี
“อายุยืนจริง คุณย่าเพิ่งพูดถึงเธออยู่พอดีเลย สุริยะ” วันดาราทัก
“ผมเพิ่งเคลียร์งามที่ร้านเสร็จน่ะครับ” สุริยวงศ์ตรงเข้ามากราบที่ตักบัวเงิน
“ไหว้พระเถอะหลาน ย่านึกว่าเจ้าจะบ่มาเสียแล้วหมั่นมาหาย่าบ่อยๆ ไม่ยังงั้นวันดารามันจะลักขโมยของโบราณย่าไปซะหมด ผ้าหีบนั้นน่ะมันอยากได้จนตัวสั่น ผ้าพวกนั้นน่ะย่าจะยกให้เจ้านะ”
“สุริยะเปิ้นจะเอาไปยะหยังคุณย่า เปิ้นเป็นผู้บ่าว” วันดาราล้อ
“เปิ้นก็เอาไว้หื้อเมียเปิ้นซิ”
“วงพระจันทร์น่ะเหรอเจ้าจะมาสนใจผ้าโบราณ คุณย่ามองคนผิดเสียแล้ว” วันดาราส่ายหน้า
“จะใดก็ช่าง แม่ญิงที่จะมาเป็นหลานสะใภ้ย่า ก็ต้องฮักแล้วก็ภูมิใจในสายเลือดล้านนาของเฮาเน้อหลานเน้อ” บัวเงินกำชับสุริยวงศ์ แล้วเปลี่ยนเรื่องชวนหลานทั้งสองออกไปรับน้ำชาที่หน้าบ้าน พลางถามถึงวงพระจันทร์คู่หมายของสุริยวงศ์
สุริยวงศ์สบตากับวันดาราแวบหนึ่งก่อนตอบว่า วงพระจันทร์บินไปดูเรื่องธุรกิจที่กรุงเทพฯได้สองสามวันแล้ว บัวเงินถอนใจบ่นต่อ “วงพระจันทร์น่ะอะไรๆก็ดีอยู่หรอก เสียอยู่อย่างเดียว ปรู๊ดปร๊าดไปหน่อย แต่จะว่าไปแล้วย่าก็ไม่เห็นใครจะสมกับเจ้ามากไปกว่าวงพระจันทร์หรอก เพราะอย่างน้อยก็สายเลือดเจ้าล้านนาเหมือนกัน”
“คุณย่าครับ เรื่องแบบนี้คงต้องดูกันไปอีกนาน ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ” สุริยวงศ์ออกตัว
“ย่ารู้...คนหัวสมัยใหม่อย่างเจ้าก็คงอยากจะเลือกเมียด้วยตัวเอง ถึงเจ้ากับวงพระจันทร์จะบ่มีวาสนาต่อกัน ก็จงจำคำย่าเอาไว้ จะหาเมียก็อย่าให้ได้แม่ญิงต่ำต้อยกว่าวงพระจันทร์ เพราะเจ้าต้องภาคภูมิใจ๋ในชาติกำเนิดของเจ้าให้มากๆ เข้าใจคำย่าก๊า” บัวเงินกำชับ
“เข้าใจครับ คุณย่า” สุริยวงศ์จำใจรับปาก
ooooooo
ธนินทร์มาส่งเรรินที่บ้านทั้งสองมีปากเสียงกันมาตลอดทาง เพราะธนินทร์ไม่พอใจที่เรรินไม่ยอมขายผ้าทอผืนนั้น แถมยังพูดจาดูถูกเพราะไม่เห็นคุณค่าของผลงาน พรรณวรินทร์ได้ยินเสียงเอะอะก็ออกมาดู เห็นลูกสาวยืนเถียงอยู่กับคู่หมั้น แล้วเรรินก็วิ่งหนีขึ้นห้อง เพราะโกรธที่ธนินทร์ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย
“มีเรื่องอะไรกัน ธนินทร์” พรรณวรินทร์เป็นงง
“ลูกค้าฝรั่งจะขอซื้อผ้าชิ้นใหญ่ ให้ราคาตั้งสองแสนกว่า แต่รินเขาไม่ยอมขาย อย่างนี้โง่หรือบ้ากันแน่ครับ ลูกสาวคุณแม่” ธนินทร์ต่อว่าแล้วผลุนผลันออกไป
พรรณวรินทร์ได้แต่มองตาม แล้วขึ้นไปดูลูกบนห้อง เห็นเรรินหยิบยาแก้ไมเกรนมากินแล้วดื่มน้ำตาม
“ธนินทร์เขาก็คงหวังดีนะลูก แม่ว่าเรื่องแบบนี้น่าจะค่อยๆพูดค่อยๆจากันได้” พรรณวรินทร์เอ่ย
“ยากค่ะแม่...เขามองทุกอย่างเป็นธุรกิจ คบกันมาตั้งหลายปี แต่เขาเหมือนไม่รู้จักตัวตนแท้ๆของรินเลย อย่างนี้ก็คงไปด้วยกันไม่รอดหรอกค่ะแม่”
“เขาก็คงแค่คิดอยากจะช่วยรินจัดการโน่นนี่เท่านั้นมังลูก คิดซะว่าเขาหวังดี”
“แต่ถ้าล้ำเส้นมาถึงขนาดจัดการกับชีวิตรินด้วย รินก็คงรับไม่ได้หรอกนะคะแม่” เรรินประกาศตัว
พรรณวรินทร์พูดไม่ออก แต่เข้าใจลูกดี
ด้านวันดาราหลังจากจิบน้ำชากับบัวเงินแล้วก็พาเด็กๆไปทำความสะอาดที่ห้อง ซึ่งถูกปิดตายมานานแล้ว แต่บัวเงินห้ามไว้ด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด และสั่งห้ามทุกคนมายุ่งกับห้องนี้ วันดาราจ๋อยรีบพาเด็กไปทำความสะอาดที่อื่น
“ตั้งแต่ผมเด็กๆห้องนี้ก็ถูกปิดตายมาตลอด ห้องอะไรเหรอครับคุณย่า” สุริยวงศ์ถามบัวเงิน
“ห้องเก็บของธรรมดา บ่มีอะหยัง” บัวเงินเดินออกไป
สุริยวงศ์เดินตามแต่ยังสนใจห้องที่ปิดตายนั้นไม่น้อย และทันทีที่ทุกคนเดินจากไปวิญญาณของอีเม้ยข้าผู้ซื่อสัตย์ของบัวเงินที่ถูกขังอยู่ในห้องก็เริ่มสำแดงฤทธิ์เมื่อลูกค้าต่างชาติคนหนึ่งสนใจผ้าทอผืนงามที่เป็นไฮไลต์ของงาน เข้ามาคุยกับธนินทร์ เขาเสนอราคาสูงถึงแปดพันยูเอส ทำให้ธนินทร์ตาโตด้วยหวังงาบเปอร์เซ็นต์ เขาหันไปมองเรรินที่กำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวทีวีอยู่
“ดิฉันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าเสียดายค่ะ ถ้างานผ้าทอมือจะต้องสูญหายไป เพราะผ้าทอผืนหนึ่งบอกเล่าอะไรๆได้มากมาย ทั้งศรัทธา ความเชื่อ ชีวิตความเป็นอยู่ สังคมของกลุ่มคนที่ทอผ้านั้นๆ ดิฉันเชื่อว่าผ้าทอทุกผืนมีชีวิตจิตใจ เพราะอย่างน้อยที่สุดกว่าผ้าซักผืนหนึ่งจะทอเสร็จ คนที่ทอจะต้องใส่หัวใจ และความรักที่จะทอลงไปในผ้าทอผืนนั้นค่ะ”
เรรินพูดจบ ธนินทร์ก็เข้ามาคว้าตัวพาไปพบลูกค้าชาวต่างชาติ เพื่อเจรจาซื้อขายผ้าทอผืนงาม แต่เรรินปฏิเสธไม่ยอมขาย
ธนินทร์เข้าใจว่าเรรินต้องการโก่งราคา จึงหันไปบอก กับลูกค้าว่า ขอเพิ่มเป็นหนึ่งพันยูเอส เรรินได้ฟังก็โกรธสวนทันทีว่า เธอไม่ขายผ้าผืนนั้นอย่างแน่นอน แล้วเดินหนีไปด้วย อารมณ์ขุ่นมั่ว
“ริน...ริน” ธนินทร์ร้องเรียก ขณะที่ลูกค้าต่างชาติเบ้ปากใส่
เวลาเดียวกันนั้น วันดาราก็พาคนงานจากรีสอร์ตมาช่วยทำความสะอาดบ้านให้บัวเงินผู้มีศักดิ์เป็นย่า ส่วนตัวเธอเข้าไปนำผ้าซิ่นโบราณที่บัวเงินเก็บไว้ออกมาคลี่พึ่งลม พลางพูดชื่นชมเพราะไม่เคยเห็นผ้าที่ไหนงามเท่า
บัวเงินที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้โยกตรงมุมโปรด เห็นอาการวันดาราก็ตำหนิ “รื้อออกมาทำไมให้มันรกบ้านช่อง เจ้านี่จุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องนะวันดารา ข้าให้มาช่วยทำความสะอาดเรือนเฉยๆ ไม่ใช่ให้มารื้อข้าวของของข้า”
“แต่ผ้าเก่าพวกนี้ต้องเอาออกผึ่งลมบ้างนะเจ้าคุณย่า ไม่อย่างนั้นมันจะกินตัว”
“มันจะกินตัวผุพังยังไงก็ช่างมัน” บัวเงินไม่ใส่ใจนัก
วันดาราสบโอกาสเอ่ยปากขอผ้าไปดูแลเอง แต่บัวเงินไม่ยอมอ้างว่า กลัววันดาราจะเอาผ้าไปขาย
“ข้าเจ้าบ่ได้คิดจะเอาไปขาย แค่อยากจะนำไปเก็บ ฮักษาไว้ให้ดี ให้ละอ่อนรุ่นหลังได้ศึกษาชื่นชมบ้างเท่านั้นเองเจ้าคุณย่า”
“ให้พูดหวานหูดูดียังไง ข้าก็บ่เชื่อเจ้าดอก เพราะสมบัติทุกชิ้นของข้า ข้าจะยกให้หลานชายข้าคนเดียว” ขาดคำ สุริยวงศ์ก็ขึ้นเรือนมาพอดี
“อายุยืนจริง คุณย่าเพิ่งพูดถึงเธออยู่พอดีเลย สุริยะ” วันดาราทัก
“ผมเพิ่งเคลียร์งามที่ร้านเสร็จน่ะครับ” สุริยวงศ์ตรงเข้ามากราบที่ตักบัวเงิน
“ไหว้พระเถอะหลาน ย่านึกว่าเจ้าจะบ่มาเสียแล้วหมั่นมาหาย่าบ่อยๆ ไม่ยังงั้นวันดารามันจะลักขโมยของโบราณย่าไปซะหมด ผ้าหีบนั้นน่ะมันอยากได้จนตัวสั่น ผ้าพวกนั้นน่ะย่าจะยกให้เจ้านะ”
“สุริยะเปิ้นจะเอาไปยะหยังคุณย่า เปิ้นเป็นผู้บ่าว” วันดาราล้อ
“เปิ้นก็เอาไว้หื้อเมียเปิ้นซิ”
“วงพระจันทร์น่ะเหรอเจ้าจะมาสนใจผ้าโบราณ คุณย่ามองคนผิดเสียแล้ว” วันดาราส่ายหน้า
“จะใดก็ช่าง แม่ญิงที่จะมาเป็นหลานสะใภ้ย่า ก็ต้องฮักแล้วก็ภูมิใจในสายเลือดล้านนาของเฮาเน้อหลานเน้อ” บัวเงินกำชับสุริยวงศ์ แล้วเปลี่ยนเรื่องชวนหลานทั้งสองออกไปรับน้ำชาที่หน้าบ้าน พลางถามถึงวงพระจันทร์คู่หมายของสุริยวงศ์
สุริยวงศ์สบตากับวันดาราแวบหนึ่งก่อนตอบว่า วงพระจันทร์บินไปดูเรื่องธุรกิจที่กรุงเทพฯได้สองสามวันแล้ว บัวเงินถอนใจบ่นต่อ “วงพระจันทร์น่ะอะไรๆก็ดีอยู่หรอก เสียอยู่อย่างเดียว ปรู๊ดปร๊าดไปหน่อย แต่จะว่าไปแล้วย่าก็ไม่เห็นใครจะสมกับเจ้ามากไปกว่าวงพระจันทร์หรอก เพราะอย่างน้อยก็สายเลือดเจ้าล้านนาเหมือนกัน”
“คุณย่าครับ เรื่องแบบนี้คงต้องดูกันไปอีกนาน ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ” สุริยวงศ์ออกตัว
“ย่ารู้...คนหัวสมัยใหม่อย่างเจ้าก็คงอยากจะเลือกเมียด้วยตัวเอง ถึงเจ้ากับวงพระจันทร์จะบ่มีวาสนาต่อกัน ก็จงจำคำย่าเอาไว้ จะหาเมียก็อย่าให้ได้แม่ญิงต่ำต้อยกว่าวงพระจันทร์ เพราะเจ้าต้องภาคภูมิใจ๋ในชาติกำเนิดของเจ้าให้มากๆ เข้าใจคำย่าก๊า” บัวเงินกำชับ
“เข้าใจครับ คุณย่า” สุริยวงศ์จำใจรับปาก
ooooooo
ธนินทร์มาส่งเรรินที่บ้านทั้งสองมีปากเสียงกันมาตลอดทาง เพราะธนินทร์ไม่พอใจที่เรรินไม่ยอมขายผ้าทอผืนนั้น แถมยังพูดจาดูถูกเพราะไม่เห็นคุณค่าของผลงาน พรรณวรินทร์ได้ยินเสียงเอะอะก็ออกมาดู เห็นลูกสาวยืนเถียงอยู่กับคู่หมั้น แล้วเรรินก็วิ่งหนีขึ้นห้อง เพราะโกรธที่ธนินทร์ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย
“มีเรื่องอะไรกัน ธนินทร์” พรรณวรินทร์เป็นงง
“ลูกค้าฝรั่งจะขอซื้อผ้าชิ้นใหญ่ ให้ราคาตั้งสองแสนกว่า แต่รินเขาไม่ยอมขาย อย่างนี้โง่หรือบ้ากันแน่ครับ ลูกสาวคุณแม่” ธนินทร์ต่อว่าแล้วผลุนผลันออกไป
พรรณวรินทร์ได้แต่มองตาม แล้วขึ้นไปดูลูกบนห้อง เห็นเรรินหยิบยาแก้ไมเกรนมากินแล้วดื่มน้ำตาม
“ธนินทร์เขาก็คงหวังดีนะลูก แม่ว่าเรื่องแบบนี้น่าจะค่อยๆพูดค่อยๆจากันได้” พรรณวรินทร์เอ่ย
“ยากค่ะแม่...เขามองทุกอย่างเป็นธุรกิจ คบกันมาตั้งหลายปี แต่เขาเหมือนไม่รู้จักตัวตนแท้ๆของรินเลย อย่างนี้ก็คงไปด้วยกันไม่รอดหรอกค่ะแม่”
“เขาก็คงแค่คิดอยากจะช่วยรินจัดการโน่นนี่เท่านั้นมังลูก คิดซะว่าเขาหวังดี”
“แต่ถ้าล้ำเส้นมาถึงขนาดจัดการกับชีวิตรินด้วย รินก็คงรับไม่ได้หรอกนะคะแม่” เรรินประกาศตัว
พรรณวรินทร์พูดไม่ออก แต่เข้าใจลูกดี
ด้านวันดาราหลังจากจิบน้ำชากับบัวเงินแล้วก็พาเด็กๆไปทำความสะอาดที่ห้อง ซึ่งถูกปิดตายมานานแล้ว แต่บัวเงินห้ามไว้ด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด และสั่งห้ามทุกคนมายุ่งกับห้องนี้ วันดาราจ๋อยรีบพาเด็กไปทำความสะอาดที่อื่น
“ตั้งแต่ผมเด็กๆห้องนี้ก็ถูกปิดตายมาตลอด ห้องอะไรเหรอครับคุณย่า” สุริยวงศ์ถามบัวเงิน
“ห้องเก็บของธรรมดา บ่มีอะหยัง” บัวเงินเดินออกไป
เมื่อเสร็จงานที่บ้านบัวเงิน สุริยวงศ์ก็อาสามาส่งวันดารา
ที่ร้านอาหาร เขาขอโทษพี่สาวแทนคุณย่า แต่วันดาราไม่ถือสาด้วยรู้ดีว่า บัวเงินเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ลูกหลานจึงเข้าหน้าไม่ติดจะมีก็เพียงสุริยวงศ์เท่านั้นที่เป็นหลานรัก
“เปิ้นหวังในตัวสุริยะมากนะ แล้วจะทำให้เปิ้นผิดหวังไหมล่ะ เรื่องวงพระจันทร์น่ะ” วันดารากระเซ้า
“ผมเห็นวงพระจันทร์เป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งมากกว่าครับ พี่วัน เพราะการจะเลือกใครซักคนมาเป็นคู่ชีวิตเรา มันบ่แม่นเลือกเสื้อผ้าสิ่งของมาสวมมาใส่นี่ครับ พี่วัน”
“งั้นพี่ขอถามตรงๆ ถ้าบ่ใช่วงพระจันทร์ งั้นตอนนี้สุริยะมองใครอยู่ละน้อง”
“บ่มีผู้ใดดอกครับ พี่วัน ผมรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีใครบางคนรอคอยผมอยู่ และผมเองก็รอคอยที่จะเจอแม่ญิงคนนั้นด้วยครับ เพียงแต่ผมบ่ฮู้ว่าเมื่อใดเราจะได้พบกันเท่านั้นเองครับพี่วัน” สุริยวงศ์มองไปที่ต้นปีบหน้าร้าน เห็นออกดอกขาวสะอาดตาเต็มต้น
ooooooo
เรรินเข้ามาเคลียร์งานในมหาวิทยาลัย เธอเก็บดอกปีบที่ร่วงอยู่หน้าตึกด้วยความหลงใหลในรูปทรง สรัญญาเดินคุยมากับเพื่อนอาจารย์สวนออกมาพอดี เธอหยุดทักทายเรรินพลางประชดประชันเรื่องโก่งราคาขายผ้าทอให้ลูกค้าต่างชาติ เรรินนึกเอะใจสงสัยว่า ต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นแน่ จึงรีบกลับไปที่ห้องจัดแสดงผลงานก็พบว่า ผ้าทอผืนนั้นไม่มีแล้ว
เรรินไม่รอช้าบุกไปถามความจริงกับธนินทร์ที่บริษัทโฆษณา ธนินทร์ยืดอกรับว่า ขายผ้าชิ้นนั้นไปแล้ว และเย็นนี้จะนำเงินไปให้
“ขอบใจมากนะคะธนินทร์ วันนี้คุณทำให้รินตัดสินใจอะไรๆได้เยอะทีเดียว” เรรินเดินออกไปทันที
เรรินกลับมาบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้พรรณวรินทร์ฟัง เธอได้รับคำปลอบว่า ธนินทร์คงทำไปเพราะหวังดี
“รินไม่ถือว่านี่คือความหวังดีค่ะแม่ เขาเข้ามาก้าวก่ายกับชีวิตรินมากเกินไปแล้ว รินรับไม่ได้ค่ะ และรินก็ตัดสินใจแล้วว่า รินกับเขาคงไปด้วยกันไม่ได้แน่ๆ” เรรินเช็ดน้ำตาพลางเก็บเสื้อผ้าไปพลาง
“อย่าให้ถึงกับถอนหมั้นเลยนะลูก อุตส่าห์คบหากันมาตั้งหลายปี แล้วนี่ลูกจะไปถึงไหน”
“รินก็ยังไม่ทราบค่ะแม่...แต่รินจะโทร.กลับมา แม่ไม่ต้องเป็นห่วงรินนะคะ รินดูแลตัวเองได้ รินขอแค่ไม่ต้องเห็นหน้า เขา ขอเวลาให้รินได้สงบสติอารมณ์ ไปให้ไกลจากรุงเทพฯซักพักเท่านั้นเองค่ะแม่” เรรินกอดลาแม่ แล้วหิ้วกระเป๋าเดินออกไป
ooooooo
เรรินมาสงบสติอารมณ์ที่เชียงใหม่ เธอแวะเวียนไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อชมการทอผ้า และได้พบกับสุริยวงศ์ที่อาสามารับผ้าทอจากคนในหมู่บ้านที่แม่แจ่มให้วันดารา ชายหนุ่มถึงกับตะลึงรู้สึกเหมือนได้พบคนที่รอคอย แต่ยังไม่ทันได้ทำความรู้จัก เรรินก็จากไปเสียแล้ว สุริยวงศ์ใจแป้วบอกไม่ถูก แต่แล้วสวรรค์ก็เป็นใจช่วยให้สุริยวงศ์ได้พบกับเรรินอีกครั้ง เพราะเธอชมการทอผ้าเพลินจนมาไม่ทันรถเข้าเมืองเที่ยวสุดท้าย ชาวบ้านจึงฝากให้เธอมากับสุริยวงศ์
สุริยวงศ์ชวนเรรินคุยในระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกันหวังจะได้รู้จักเธอมากขึ้น แต่เรรินยังคงปิดบังตัวเองเธอส่งยิ้มให้ชายหนุ่มแล้วหันไปมองทิวทัศน์ข้างทาง สุริยวงศ์แอบมองเรริน พลางเก็บภาพเธอไว้ในใจ
สุริยวงศ์พาเรรินแวะมาที่โครงการหลวง ดอยอินทนนท์ เพราะมีธุระต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่
“ถ้าคุณไม่อยากรอที่รถจะเดินเล่นแถวนี้ก่อนก็ได้นะครับ ทางโน้นเป็นน้ำตก” สุริยวงศ์แนะนำ
เรรินสนใจเดินแยกออกไปทางน้ำตก ส่วนสุริยวงศ์เข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ด้านใน
เรรินยืนมองน้ำตกด้วยความตื่นตาตื่นใจ รู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ แต่แล้วธนินทร์ก็โทร.มา
กวนใจเพราะอยากรู้ว่าเธออยู่ไหน แต่เรรินไม่ยอมรับสาย เธอกดปิดเครื่องแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่ถุงย่าม เพราะไม่อยากให้ความเบิกบานเหือดหาย
ธนินทร์ไม่พอใจที่ติดต่อเรรินไม่ได้ จึงหันมาโวยใส่พรรณวรินทร์ พรรณวรินทร์เริ่มเครียดตาม
“แม่ว่าอย่างเก่งรินเขาก็คงไปแค่สองสามวันเท่านั้นแหละ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว แล้วค่อยคุยกันดีกว่านะ”
ส่วนเรริน เธอยังยืนนิ่งมองน้ำตก คิดเรื่องปัญหาชีวิตตัวเอง สุริยวงศ์เข้ามาตามชวนกลับเข้าเมือง แต่เห็นเรรินยืนนิ่งจึงเอื้อมมือมาแตะต้นแขน เรรินสะดุ้งหันมา
“ขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ เราไปกันเถอะครับ”
“ค่ะ” เรรินเดินออกไปที่รถ แต่สุริยวงศ์เรียกไว้ชวนให้ดื่มกาแฟกับทานของว่างด้วยกันก่อนเพราะวันดาราเตรียมใส่รถมาให้ด้วย
เรรินรับกาแฟกับของว่างนั่งทานที่มุมหนึ่งและคิดเอาเองว่าคนที่เตรียมกาแฟกับของว่างมาให้คือภรรยาของสุริยวงศ์นั่นเอง
ooooooo
รถของสุริยวงศ์แล่นเข้ามากลางเมืองเชียงใหม่ เรรินให้เขาจอดรถส่งเธอลงแถวที่มีที่พักให้เลือก หลายแห่ง สุริยวงศ์ได้โอกาสจะแนะนำให้ไปพักที่ภูหมอก ทะเลดาวรีสอร์ตของวันดารา แต่ไม่ทันเพราะเรริน ชิงพูดขึ้นก่อน
“ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์ให้ฉันอาศัยรถมาด้วย” ขอบคุณสำหรับกาแฟแล้วก็ของว่างด้วยค่ะ” เรรินหอบกระเป๋าเป้ลงจากรถไปทันที
สุริยวงศ์ได้แต่มองตามพลางทอดถอนใจ เพราะคงจะได้รู้จักแค่นี้ แต่แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็น ดอกปีบที่เคยเสียบผมเรรินตกอยู่ข้างเบาะ เขาหยิบมันขึ้นเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ส่วนเรรินเมื่อแยกกับสุริยวงศ์แล้วก็เข้ามาไหว้พระในวัดแห่งหนึ่ง ขณะที่ก้มลงกราบพระ เธอได้ยินเสียงผู้ชายมากระซิบข้างหู “น้องกลับมาแล้วหรือเจ้าริน”
เรรินตกใจหันมองหาเจ้าของเสียง พบชายหนุ่มแต่งตัวแบบโบราณ ยืนยิ้มให้อยู่ด้านนอกเขตวิหาร เรรินแปลกใจ หันกลับมามองรอบตัวว่า เขายิ้มให้ใคร แล้วหันไปมองชายหนุ่ม อีกครั้ง แต่ไม่เห็นใครแล้ว เธอคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป
ขณะที่สุริยวงศ์กลับมานั่งถอนใจเฮือกๆ อยู่ในรีสอร์ต วันดาราเดินออกมาเห็นก็ร้องทักว่ากลุ้มใจอะไรหนักหนา สุริย– วงศ์เปรยกับพี่เรื่องเรริน เพราะคงหมดหวังจะได้พบเธออีกสุริยวงศ์พาเรรินแวะมาที่โครงการหลวง ดอยอินทนนท์ เพราะมีธุระต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่
“ถ้าคุณไม่อยากรอที่รถจะเดินเล่นแถวนี้ก่อนก็ได้นะครับ ทางโน้นเป็นน้ำตก” สุริยวงศ์แนะนำ
เรรินสนใจเดินแยกออกไปทางน้ำตก ส่วนสุริยวงศ์เข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ด้านใน
เรรินยืนมองน้ำตกด้วยความตื่นตาตื่นใจ รู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ แต่แล้วธนินทร์ก็โทร.มา
กวนใจเพราะอยากรู้ว่าเธออยู่ไหน แต่เรรินไม่ยอมรับสาย เธอกดปิดเครื่องแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่ถุงย่าม เพราะไม่อยากให้ความเบิกบานเหือดหาย
ธนินทร์ไม่พอใจที่ติดต่อเรรินไม่ได้ จึงหันมาโวยใส่พรรณวรินทร์ พรรณวรินทร์เริ่มเครียดตาม
“แม่ว่าอย่างเก่งรินเขาก็คงไปแค่สองสามวันเท่านั้นแหละ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว แล้วค่อยคุยกันดีกว่านะ”
ส่วนเรริน เธอยังยืนนิ่งมองน้ำตก คิดเรื่องปัญหาชีวิตตัวเอง สุริยวงศ์เข้ามาตามชวนกลับเข้าเมือง แต่เห็นเรรินยืนนิ่งจึงเอื้อมมือมาแตะต้นแขน เรรินสะดุ้งหันมา
“ขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ เราไปกันเถอะครับ”
“ค่ะ” เรรินเดินออกไปที่รถ แต่สุริยวงศ์เรียกไว้ชวนให้ดื่มกาแฟกับทานของว่างด้วยกันก่อนเพราะวันดาราเตรียมใส่รถมาให้ด้วย
เรรินรับกาแฟกับของว่างนั่งทานที่มุมหนึ่งและคิดเอาเองว่าคนที่เตรียมกาแฟกับของว่างมาให้คือภรรยาของสุริยวงศ์นั่นเอง
ooooooo
รถของสุริยวงศ์แล่นเข้ามากลางเมืองเชียงใหม่ เรรินให้เขาจอดรถส่งเธอลงแถวที่มีที่พักให้เลือก หลายแห่ง สุริยวงศ์ได้โอกาสจะแนะนำให้ไปพักที่ภูหมอก ทะเลดาวรีสอร์ตของวันดารา แต่ไม่ทันเพราะเรริน ชิงพูดขึ้นก่อน
“ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์ให้ฉันอาศัยรถมาด้วย” ขอบคุณสำหรับกาแฟแล้วก็ของว่างด้วยค่ะ” เรรินหอบกระเป๋าเป้ลงจากรถไปทันที
สุริยวงศ์ได้แต่มองตามพลางทอดถอนใจ เพราะคงจะได้รู้จักแค่นี้ แต่แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็น ดอกปีบที่เคยเสียบผมเรรินตกอยู่ข้างเบาะ เขาหยิบมันขึ้นเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ส่วนเรรินเมื่อแยกกับสุริยวงศ์แล้วก็เข้ามาไหว้พระในวัดแห่งหนึ่ง ขณะที่ก้มลงกราบพระ เธอได้ยินเสียงผู้ชายมากระซิบข้างหู “น้องกลับมาแล้วหรือเจ้าริน”
เรรินตกใจหันมองหาเจ้าของเสียง พบชายหนุ่มแต่งตัวแบบโบราณ ยืนยิ้มให้อยู่ด้านนอกเขตวิหาร เรรินแปลกใจ หันกลับมามองรอบตัวว่า เขายิ้มให้ใคร แล้วหันไปมองชายหนุ่ม อีกครั้ง แต่ไม่เห็นใครแล้ว เธอคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป
“อ้อที่กลับมานั่งถอนใจเฮือกๆอยู่นี่ ก็เพราะแม่ญิงผู้นี้นี่เอง ใจ้ก่อ เปิ้นคงจะงามขนาดเลยเน้อ แล้วถ้าเปิ้นสนใจผ้าทอ ได้หื้อนามบัตรปี้ไปก่อ”
“ผมบ่ทันได้นึกครับ โอย ผมนี่แย่ขนาด” สุริยวงศ์เซ็งตัวเอง
“เอาล่ะ ปี้เชื่อแล้วว่าเปิ้นคงจะงามแต๊ๆ งามจนน้องของปี้ตะลึงจนคิดอะหยังบ่ออก เอาเต๊อะ คนเฮาถ้ามีวาสนาต่อกันก็คงจะได้ปะกันแหม อย่าพะวงหลงใหลจนเก็บเอาไปนอนฝันคืนนี้ก็แล้วกันเน้อ” วันดาราล้อ
สุริยวงศ์ไม่ตอบโต้แต่ขอตัวกลับไปดูแลร้านอาหารกาสะลองของตัวเองบ้าง เป็นเวลาเดียวกับที่เรรินเข้าไปใช้บริการในร้านพอดี เพราะสนใจที่มีดอกปีบตกแต่งร้าน
“อ๋อ...ดอกกาสะลองเป็นชื่อร้านน่ะเจ้า เจ้าของร้านเปิ้นฮักดอกกาสะลองมากเจ้า” พนักงานเข้ามาคุย
“กาสะลอง...พี่เพิ่งรู้ว่าภาษาเหนือเรียกดอกปีบว่า กาสะลอง...ขอบคุณนะคะ”
“เจ้า...” พนักงานออกไปส่งใบออเดอร์ที่มุมกาแฟ
เรรินหยิบดอกปีบจากแก้วน้ำมาดมพลางกวาดตามองไปรอบๆร้านก็สะดุดเข้ากับภาพถ่ายขาว-ดำ ที่แขวนตกแต่งอยู่ในร้าน เธอลุกไปดูเห็นเป็นภาพคุ้มหลวงในอดีตจึงเอ่ยถามพนักงาน
“น้องคะ...นี่รูปถ่ายบ้านใครคะ”
“คุ้มหลวงเจ้า ตอนนี้เปิ้นทำเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ถ้าคุณชอบของเก่าๆ ก็แวะไปชม ได้เจ้า”
เรรินสนใจ ขยับเข้าไปดูรูปใกล้ๆ เหมือนถูกแรงดึงดูด และเห็นภาพถัดไปมีชายสองคนถ่ายภาพด้วยกันแต่เห็นหน้าไม่ชัด จึงเพ็งมองก็เห็นเงาสะท้อนเป็นชายคนเดียวกับที่ยิ้มให้ที่วัด เรรินหันไปมองด้านหลัง แต่ก็ไม่พบใคร หล่อนงงกับความตาฝาดของตัวเอง จึงตัดใจเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินและรับกาแฟ และเห็นว่ามีโบรชัวร์ “ภูหมอก-ทะเลดาว” วางอยู่ด้านหน้าจึงเปิดอ่านด้วยความสนใจ แล้วเดินออกไปโทร. ติดต่อเพื่อเข้าพัก ทำให้คลาดกับสุริยวงศ์ที่เพิ่งมาถึงไปเพียงเสี้ยววินาที
เรรินมาที่ภูหมอก-ทะเลดาว วันดารารีบออกมาต้อนรับและจะเปิดห้องตัวอย่างให้ชม แต่เรรินตัดสินใจเช็กอินเลยเพราะบรรยากาศถูกใจมาก
ค่ำวันเดียวกัน บัวเงินยังนั่งทอดอาลัยอยู่ที่มุมประจำ เธอมองภาพถ่ายเก่าๆพลางรำพึง
“เกือบเก้าสิบปี มันยาวนานเกินไปแล้ว เจ้าพี่ เจ้าพี่ลงโทษน้องด้วยความทรมานเยี่ยงนี้ มันนานเกินไปแล้ว เมื่อใดจึงจะสาสมใจเจ้าพี่เสียที” บัวเงินนิ่งงันด้วยความเจ็บปวด ไฟเปิดสว่างขึ้น เสียงบ่าวร้องเมี้ยวๆๆเรียกหาแมวที่เลี้ยงไว้
“ผู้ใดให้คิงเปิดไฟ” บัวเงินตวาด
“สุมาเต๊อะเจ้า ข้าเจ้าบ่ฮู้ว่าแม่คุณอยู่ตรงนี้ ข้าเจ้าตามหาอีปลอดมันน่ะเจ้า มันหายไปแต่เช้าแล้วคลุกข้าวกับปลาทูหื้อ มันก็บ่มากิน”
“เดี๋ยวมันหิวมันก็กลับมาเอง แค่แมวตัวเดียว จะอะไรกันนักหนา ปิดไฟ” บัวเงินเสียงแข็ง
“เจ้า...แม่คุณเจ้า” บ่าวลนลานไปปิดไฟแล้วรีบออกไป
ooooooo
สุริยวงศ์เข้าช่วยงานในครัวเพราะแขกเยอะมาก อาหารออกไม่ทัน วงพระจันทร์ที่เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯเข้ามาปิดตาเซอร์ไพรส์ให้ทายว่าใครเอ่ย
“วงพระจันทร์ ผมกำลังทำงานอยู่” สุริยวงศ์ดุนิดๆ
“ว้า...อุตส่าห์เปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมแล้วนะเนี้ย สุริยะยังรู้อีกว่าเป็นวงพระจันทร์ไปคุยกันข้างนอกเถอะค่ะ ในนี้อึดอัดอุดอู้ยังกะอะไรดี” วงพระจันทร์ชวน
“ลูกค้าเยอะ ผมต้องช่วยงานในนี้ คุณมีธุระอะไรก็ว่ามาเถอะ”
“แหม...ไม่โรแมนติกซะเลย วงพระจันทร์จะมาชวนสุริยะไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน เลดี้กาก้าเปิดคอนเสิร์ตรอบเดียวที่โตเกียวนะคะ”
“ผมไปไม่ได้หรอก มีงานต้องทำอีกเยอะ”
“อะไรกันคะ เลดี้กาก้าเชียวนะ คุณนี่ชีวิตจะทำแต่งานๆๆ รึไงคะ ทำไมไม่รู้จักให้กำไรกับตัวเองบ้างเลย ไม่รู้ละ วงพระจันทร์จองตั๋วเอาไว้แล้วด้วย ยังไงคุณก็ต้องไป เพราะตั๋วเครื่องบินวงพระจันทร์ก็จองเป็นชื่อคุณแล้ว เรื่องของวีซ่าน่ะเรื่องเล็ก” วงพระจันทร์หยิบตั๋วเครื่องบินขึ้นมาอวด
สุริยวงศ์ทำหน้าเซ็งสุดๆ เป็นเวลาเดียวกับที่เรรินโทร.บอกพรรณวรินทร์ว่า เธออยู่เชียงใหม่และกำชับไม่ให้บอกเรื่องนี้กับธนินทร์
“แม่ว่ามีอะไรก็คุยกันตรงๆดีกว่านะลูก”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นละค่ะแม่ แต่คงไม่ใช่เวลานี้ แล้วรินจะจัดการเรื่องนี้เองค่ะ เท่านี้ก่อนนะคะแม่แล้วรินจะโทร.กลับมาใหม่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงรินนะคะ รินสบายดี...รักแม่ค่ะ” เรรินกดปิดโทรศัพท์
พรรณวรินทร์ได้แต่ถอนใจแล้วลุกไปเปิดประตูเพราะได้ยินเสียงคนกดออดเรียก เธอเห็นธนินทร์ยืนหิ้วถุงอาหารรออยู่หน้าบ้าน
“ผมซื้อของกินมาตั้งหลายอย่างแน่ะครับ” ธนินทร์คุย
“กินกับแม่สิ แม่กำลังจะกินข้าวเย็นพอดี กินคนเดียวก็เหงา”
“รินเขาโทร.มาบ้างรึเปล่าครับ”
“ก็...โทร.มาลูกแต่เขาไม่บอกว่าอยู่ไหน บอกแต่ว่าอีกไม่กี่วันก็จะกลับมาจ้ะ” พรรณวรินทร์จำใจโกหก
“ผมคงได้แต่หวังว่ารินเขาคงจะโกรธผมไม่นานนะครับคุณแม่”ธนินทร์แสร้งถอนใจ เพราะถึงเรรินจะไม่อยู่เขาก็ยังเหลือสรัญญาอีกคน
ooooooo
เรรินออกมาเดินเล่นจนเห็นแกลลอรี่เล็กๆในรีสอร์ต และสิ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษ คือ ผ้าทอหลายชิ้นจากแม่แจ่ม จึงหันไปชื่นชมกับวันดาราที่หอบผ้าอีกชุดเข้ามา
“คุณเรรินชอบผ้าทอมือเหมือนกันเหรอคะ”วันดาราชวนคุย
“ดิฉันเป็นอาจารย์สอนทอผ้าในมหาวิทยาลัยค่ะ”
“อ้าว...ตายจริง...เกือบจะเอามะพร้าวมาขายสวนซะแล้ว”
“ดิฉันไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายหรอกค่ะ ยังต้องค้นคว้าหาข้อมูลความรู้อีกเยอะ ผ้าซิ่นผืนนั้นสวยจังเลยค่ะ” เรรินหยิบผ้าผืนหนึ่งขึ้นมาดู
“คุณเรรินชอบผ้าเก่าไหมคะ ที่นี่โชว์ผ้าเก่าไม่มาก แต่ถ้าคุณเรรินสนใจ ดิฉันแนะนำให้ไปชมที่เก็ดถะหวาค่ะเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวเล็กๆ แต่มีผ้าเก่าคุ้มระดับคุ้มเจ้าหลวงล้านนาเยอะทีเดียวค่ะ”
“น่าสนใจจังเลยค่ะ...เก็ดถะหวา”
“เก็ดถะหวา เป็นชื่อดอกไม้น่ะค่ะ คนเหนือเรียก
เก็ดถะหวา คนกรุงเทพฯเรียก ดอกพุด”
“อ๋อ...ชื่อเพราะจังเลยนะคะ เก็ดถะหวา คือ ดอกพุด กาสะลอง คือ ดอกปีบ” เรรินรำพึง
ไทยรัฐออนไลน์
- โดย บทประพันธ์ พงศกร จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ยิ่งยศ ปัญญา
- 24 สิงหาคม 2554, 09:20 น.
No comments:
Post a Comment