Saturday, September 10, 2011

เรื่องย่อ รอยใหม ตอน6 ละครช่อง3


ตอนที่ 6

เรรินกลับไปในอดีต เธอเห็นเหตุการณ์ตอนที่เจ้าหลวงกับพระชายาเรียกมณีรินเข้าไปถามสารทุกข์ สุขดิบ และมอบหมายให้บัวเงินเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลให้คำปรึกษากับมณีริน
“เป็นพระกรุณาพ่อเจ้า แม่เจ้าแต๊ๆเจ้า” มณีรินก้มกราบ
“บัวเงิน   ข้าฮู้ว่าทุกวันนี้งานของเจ้าก็นักหนาเต็มมืออยู่แล้ว ยังจะเพิ่มภาระหื้อเจ้าแหม” พระชายาหันมาทางบัวเงิน
อีเม้ยลุ้นให้เจ้านายปฏิเสธ แต่บัวเงินกลับปั้นยิ้มใสซื่อ “บัวเงินบ่กึ๊ดว่าเป็นภาระดอกเจ้า แม่เจ้างานการใดที่เป็นการแบ่งเบาภาระพ่อเจ้าแม่เจ้าได้ บัวเงินก็ยินดีฮับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้เจ้า เจ้านางน้อย บัวเงินก็ฮักเหมือนน้องสาวแต๊ๆของบัวเงิน มีอะหยังหื้อพี่ช่วยได้พี่ก็เต็มอ๊กเต็มใจ๋เน้อ เจ้านางน้อย” บัวเงินเอื้อมไปจับมือมณีรินทำท่ายินดีหนักหนา
อีเม้ยนั่งอึ้งค้างคาใจเป็นที่สุด มันจึงเอ่ยถามผู้เป็นนายเมื่อกลับมาถึงเรื่อง “หม่อมเจ้าขา จะไดหม่อมไปตกปากฮับคำแม่เจ้าเปิ้นจะไดหม่อมบ่ปฏิเสธเพราะจะปฏิเสธจริงๆ ก็มีวิธีถมเถไป เป็นพี่เลี้ยงมัน มันก็บ่ต่างจากไปเป็นขี้ข้ามันดอกเจ้าเม้ยขัดใจนักขนาด เม้ยบ่เข้าใจ๋ว่าจะไดหม่อมจึงยอมลดศักดิ์ศรีของหม่อมจะอี้”
“อีเม้ย จะไดมึงง่าวจะอี้ มึงบ่ฮู้กูแต๊ๆ ก๊า”
“เม้ยเกิดมาอาภัพแต๊ๆ”
“น้ำได้หนทาง ผีสางได้กำปาก กูจะแกล้งทำดีกับมันหื้อมันต๋ายใจ๋ สบช่องเมื่อใดกูจะเหยียบมันหื้อจมอยู่ใต้ฝ่าตีนกู มึงคอยผ่อดีๆ เน้ออีเม้ย” บัวเงินบอกแผนการ

เรื่องย่อ ละคร รอยใหม ตอน5 ละครช่อง3


ตอนที่ 5

บัวเงินสะบัดแส้หางกระเบนใส่ผีอีเม้ยด้วยความเดือดดาล ฐานที่มันทำงานพลาด มันโอดครวญว่าไม่อาจตามเรรินเข้าไปในคุ้มหลวงได้ เพราะผีอารักษ์ถีบมันกระเด็นออกมา
“กูจะต้องฮู้ให้ได้ว่ามันกลับเข้าไปอะหยังในนั้น” บัวเงิน เขวี้ยงหางกระเบนทิ้ง
“เป็นไปได้ก่อเจ้า...หม่อม ที่เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นฮ้องหามัน” ผีอีเม้ยเดา
“ตายไปเมินเจ็ดสิบปีแล้วแม้แต่ในความฝันก็บ่เคยปิ๊กมาสู่กู ถ้าเจ้าอ้ายยังเฝ้ารอคอยมันอยู่ที่คุ้มเจ้าหลวงก็ใจดำกับกูเกินไปแล้ว อีเม้ย” บัวเงินน้ำตาร่วงเผาะทั้งเจ็บทั้งแค้น
ด้านเรริน เธอได้รู้จักเจ้าศิริวัฒนามากขึ้น เธอเห็นใจและอยากจะช่วยให้ท่านพ้นจากพันธนาการ
“พันธนาการมิได้เกิดขึ้นจากผู้อื่นจองจำเราเท่านั้น ความยึดมั่นในบางสิ่งบางอย่างก็เป็นพันธนาการที่ผูกรัดเราไว้จนไม่มีวันได้ไปที่ไหน แต่ต้องเฝ้ารอคอย จนกว่าจะถึงเวลาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
“คุณรอคอยอะไรคะ ผ้าตุ๊ม ผืนนี้สำคัญต่อคุณมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ คุณเล่าให้ฉันฟังต่อได้ไหม” เรรินอ้อนวอน
เจ้าศิริวัฒนาไม่ตอบอะไร แต่ขยับเข้ามาหยิบดอกเก็ดถวา ยื่นให้เรริน สาวเจ้าเอื้อมมือมารับพลางมองตามสายตาเจ้าศิริวัฒนา เธอเห็นพุ่มดอกเก็ดถวาในมุมซ้ายของภาพสีน้ำมันผลิดอกค่อยๆบานออกขาวเต็มต้น
ดอกเก็ดถวาเหล่านั้นถูกอีเม้ยเก็บไปให้บัวเงินจัดพานถวายเจ้าศิริวัฒนาเพราะเป็นดอกไม้ที่ท่านโปรดมาก
แต่ยังไม่ทันจัดพานเสร็จ เจ้าศิริวัฒนาก็เดินเข้ามาขอดอกเก็ดถวาจากบัวเงิน บัวเงินเลือกดอกที่สวยที่สุดส่งให้อีเม้ยแอบกระซิบเจ้านาย “สงสัยว่าเจ้าเปิ้นจะเอาดอกเสียบ ผมหื้อหม่อมนะเจ้า”
“แต๊ก๊าอีเม้ย จะอั้นมึงเอาดอกในหัวกูออกก่อน”บัวเงินสั่ง
อีเม้ยรีบตะกุยเอาดอกไม้ที่เหน็บมวยผมออกให้บัวเงินเอียงคอปั้นท่าหวังให้ศิริวัฒนาเสียบดอกไม้ให้ แต่เจ้าศิริวัฒนากลับเดินถือดอกเก็ดถวาออกไปทันที
บัวเงินหน้าแตกอย่างแรง รีบชวนอีเม้ยตามเจ้าศิริวัฒนาไป
สองนายบ่าวก็ยืนตะลึง เมื่อเห็นเจ้าศิริวัฒนานำดอกเก็ดถวาไปเสียบมวยผมให้มณีรินที่เก็บดอกปีบอยู่กับคำเที่ยง แถมยังอ้อนขอกินข้าวเช้าด้วย บัวเงินสุดทนรีบเข้าไปกันท่าอ้างว่า เจ้าหลวงเรียกให้เจ้าศิริวัฒนาไปพบที่ห้องหนังสือ เจ้าศิริวัฒนาหลงกลเดินออกไป บัวเงินกับอีเม้ยได้ช่องว่ากระทบมณีรินแล้วพากันเดินจากไป
คำเที่ยงยันยืนงงไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้ฟังมณีรินอธิบายก็ตบเข่าฉาด ด้วยความขัดเคือง “ป๊าด...จะไดเจ้านางน้อย บ่บอกพี่แต่แรก ว่าเปิ้นกระทบกระทั่งเจ้านางน้อยพี่จะได้ ตอกกลับหื้อหงายหลังไปเลย”
“จะไปโต้ตอบเปิ้นหื้อมันได้อะหยังขึ้นมาพี่คำเที่ยง”
“อ้าว อย่างน้อยเปิ้นก็ต้องฮู้เสียบ้างว่า ถึงเฮาจะพลัดบ้านพลัดเมืองมาแต่เฮาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกั๋นเจ้านางน้อยน่ะศักดิ์สูงกว่าเปิ้นด้วยซ้ำไป วันข้างหน้ายิ่งแล้วใหญ่ อย่างเก่งเปิ้นก้อเป็นได้แค่หม่อมของเจ้าเปิ้น คนที่จะได้ขึ้นเป็นพระชายา ก็คือเจ้านางน้อยผู้เดียว”
“ช่างเปิ้นเต๊อะ เปิ้นจะอู้จะได ก็ช่างเปิ้นต่อความยาวสาวความยืดบ่ได้ประโยชน์อะหยังมีคนฮักดีกว่ามีคนชัง แค่คนเดียวพี่คำเที่ยงร้อยคนจะได้ก็ อีกอย่าง เฮาบ่อยากแต่งงานถ้าเฮายกตำแหน่งชายาเจ้าศิริวัฒนาหื้อเปิ้นได้เฮาก็จะยกให้ บ่ได้กึ๊ดเสียดายเลย เฮาจะไปเดินเล่น” มณีรินตัดบทลุกออกไปทันที
คำเที่ยงรีบตาม แต่เมื่อเห็นเจ้านางน้อยยืนเหม่อมองไปที่แนวกำแพงเขตรั้วคุ้มเจ้าหลวง ก็ชวนกลับเข้าเรือน มณีรินเปรยว่า ชีวิตเธอเหมือนนักโทษไม่มีอิสระที่จะคิดจะตัดสินใจเอง และไม่มีโอกาสรู้เลยว่าโลกข้างนอกเป็นอย่างไร
“เจ้ารินคิดนัก บ่มีผู้ใดกักขังเจ้ารินซักหน่อย แต่เพราะเจ้ารินเป๋นเจ้ารินเป๋นเจ้านางน้อยแห่งเจียงตุงต่างหากทุกคนถึงต้องดูแลเจ้ารินอย่างดี นี่เจ้าทุกข์ใจเรื่องแต่งงานจนคิดมากขนาดนี้เชียวหรือ...โธ่ คิดเสียว่าทำเพื่อแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนเต๊อะ”
“ก็เพราะเฮาคิดอย่างนั้นน่ะสิปี้คำเที่ยงเฮาถึงได้ต้องทนทั้งที่เฮารู้สึกว่าเฮาบ่เกยได้เป็นตัวของตัวเองเลย แต่ก็อย่างตี้ปี้คำเที่ยงว่านั่นละนะอันตี้จริง ก่อบ่มีไผกักขังเฮาได้ เพราะเฮาก็เป๋นเฮา จะเป๋นเจ้านางมณีริน หรือมณีรินเฉยๆก่อ อยู่ตี้เฮาจะเลือกเป๋น...ขอบใจ๋เน้อพี่คำเที่ยงขอบใจ๋จ๊าดนัก” มณีรินนึกอะไรขึ้นได้ เธอรีบกลับไปที่เรือนเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นแม่หญิงชาวบ้านแอบหนีไปเที่ยวแอ่วเมืองเจียงใหม่
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ เจ้ารินคิดอะหยังพิเรนทร์แฮมแล้ว” คำเที่ยงร้อง พลางเร่งตามมณีรินไป
ooooooo
มณีรินเดินเที่ยวตลาดอย่างตื่นตาตื่นใจเห็นคำเที่ยงแหวกฝ่าผู้คนตามมาอย่างทุลักทุเล แล้วมณีรินก็มาหยุดที่ร้านขายหนังสือ เธอหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาดูด้วยความสนใจพลางหันไปสั่งคำเที่ยงที่ตามมาช่วยจ่ายเงินให้ด้วย
คำเที่ยงตาโตเพราะไม่ได้นำเงินติดตัวมาเลย จึงสั่งให้พ่อค้าไปเก็บเงินที่คุ้มเจ้าหลวงเพราะเจ้านางมณีรินเป็นคู่หมั้นของเจ้าศิริวัฒนา แต่พ่อค้าไม่เชื่อและเข้าใจว่าทั้งสองเป็นหัวขโมยจึงไล่จับ มณีรินชักสนุกที่ได้ผจญภัย เธอวิ่งนำคำเที่ยงออกไป และได้พบเจ้าศิริวงศ์ที่แต่งตัวเป็นชาวบ้านมาแอ่วกาดด้วยเช่นกัน
เจ้าศิริวงศ์ยอมจ่ายค่าหนังสือให้มณีรินและแสดงน้ำใจด้วยพาไปเลี้ยงอาหาร เพราะเข้าใจทั้งคู่หิวจึงต้องขโมยของ จากนั้นก็นัดให้มาพบกันใหม่ในวันรุ่งขึ้น เพราะจะฝากให้เข้าทำงานในคุ้มคำจะได้ไม่ต้องมาเป็นขโมยอีก มณีรินซาบซึ้งและเริ่มประทับใจในตัวชายหนุ่ม
คำเที่ยงอดรนทนไม่ไหวรีบบอกฐานะที่แท้จริงของมณีรินให้ชายหนุ่มรู้แต่เขาไม่เชื่อ มณีรินจึงสะกิดห้ามแล้วแนะนำตัวเองใหม่ว่า เธอชื่ออีน้อย ส่วนพี่สาวชื่อคำเที่ยง
“อีน้อย พรุ่งนี้เจอกัน” เจ้าศิริวงศ์ย้ำ
“เฮาจะเอาเงินมาคืนตัวด้วย”
“บ่ต้อง เงินนั้นถ้ามันจะจ่วยหื้อหัวขโมยอย่างตั๋วกลับใจ๋เป็นคนดีได้เฮาจะถือว่ามันมีค่ามากกว่าบ่คิดจะอยากได้คืน” เจ้าศิริวงศ์เดินจากไป
“เฮาก็บ่อยากติดค้างใครเหมือนกัน” มณีรินตะโกนไล่หลัง
“ไปเต๊อะ เจ้าริน กลับกันเสียที” คำเที่ยงเข้ามาดึงมณีริน พลางต่อว่าที่เล่นสนุกจนเกิดเรื่อง และสั่งห้ามไม่ให้ ออกมาอีก แต่มณีรินไม่ฟัง เพราะวันรุ่งขึ้นเธอก็ลากคำเที่ยงมาแอ่วกาดด้วยกันอีกจนได้ และมีโอกาสได้ช่วยเจ้าศิริวงศ์จัดการกับพวกอันธพาลที่รังแกผู้หญิง แต่พวกอันธพาลไปตามพวกมาเพิ่มอีก เจ้าศิริวงศ์เห็นท่าไม่ดีรีบดึงมณีรินหนีไปด้วยกัน คำเที่ยงวิ่งตามไม่ทันจึงผลัดหลง
มณีรินได้อยู่กับเจ้าศิริวงศ์ตามลำพัง ทั้งไม่รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่าย มณีรินคืนเงินค่าหนังสือให้เจ้าศิริวงศ์ แต่เขาไม่ยอมรับจะเดินหนี มณีรินดึงแขนเสื้อไว้ ทั้งสองยื้อกันไปมาจนเสื้อขาด มณีรินตกใจรีบขอโทษอาสาจะเอาเสื้อไปซ่อมให้และนำมาคืนในวันพรุ่ง เพื่อจะได้มาพบกันอีก
เมื่อคำเที่ยงรู้เรื่องก็ไม่พอใจนัก นางขอนำเสื้อมาให้ชายหนุ่มเองพลางโกหกว่า มณีรินไม่สบายมาไม่ได้ แต่เจ้าศิริวงศ์ไม่เชื่อเดินตามคำเที่ยงมาจนได้พบมณีรินที่ยืนแอบมองอยู่ เจ้าศิริวงศ์ขอเลี้ยงอำลาสองสาวเพราะคงไม่ได้มาแอ่วที่กาดนี้อีกแล้ว มณีรินยอมตกลง
หลังกินขนมจีนน้ำเงี้ยวกันอิ่มแล้ว เจ้าศิริวงศ์ก็สั่งยาดองมาดื่มฉลองมิตรภาพกับสองสาว คำเที่ยงเห็นว่าไม่เหมาะที่มณีรินจะดื่มเหล้าจึงขอดื่มแทน แล้วนางก็ติดใจในรสชาติจึงสั่งมาดื่มเพิ่ม เมื่อเมาได้ที่คำเที่ยงก็เปิดเผยฐานะที่จริงของตนกับมณีริน เจ้าศิริวงศ์รีบรับมุกยกมือไหว้มณีรินแล้วแนะนำตัวเอง
“แล้วตัวรู้ก่อว่าเฮาเป็นใคร เฮาเป็นน้องชายเจ้าศิริวัฒนาชื่อเจ้าศิริวงศ์”
“ก๊า... งั้นเฮาก็ต้องไหว้ตัวสิ” คำเที่ยงไหว้เจ้าศิริวงศ์ แล้วหัวเราะอย่างสุดกลั้น เจ้าศิริวงศ์หัวเราะตามเพราะต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่า คนตรงหน้าตนตลกสิ้นดี
คำเที่ยงเมาหมดสภาพเดินต่อไม่ไหวทิ้งลงไปนั่งแผ่กับพื้น มณีรินถอนใจนึกห่วงพี่เลี้ยง เจ้าศิริวงศ์แนะนำว่า ให้นอนซักตื่นเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง
“ท่าทางพี่สาวตัว เปิ้นฮักตัวมากเลยนะ” เจ้าศิริวงศ์ชวนคุย
“พี่คำเที่ยง เปิ้นดูแลเฮามาแต่น้อย เวลาเฮาสุขก็สุขด้วยกัน เวลาทุกข์เปิ้นทุกกว่าเฮาเสียด้วยซ้ำ”
“ท่าทางอย่างตัว มีความทุกข์กะเขาด้วยหรือ ความทุกข์ของตัวคืออะไร”
“เฮา เหมือนเป็นนักโทษที่ถูกกักขัง เพราะเฮาถูกบังคับให้ต้องแต่งงาน เฮาบ่ได้ฮักผู้ชายคนนั้น การแต่งงานเป็นเรื่องของความฮัก บ่ฮักแล้วจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”
“บางที แต่งงานอยู่กินกับผู้ชายคนนั้นแล้ว ตัวอาจจะฮักเปิ้นทีหลังก็ได้”
“ตัวพูดเหมือนพี่คำเที่ยง”
“ตัวกลัวความฮักมากกว่า ความฮักบ่ใช่เรื่องน่ากลัว ความฮักบ่เคยทำร้ายใคร ความฮักอาจจะมาช้า หรือมาเร็ว ก็คือความฮัก” เจ้าศิริวงศ์ส่งยิ้มอย่างจริงใจ
มณีรินมองผู้ชายตรงหน้าพร้อมกับตั้งคำถามในใจว่า เขาแตกฉานในเรื่องความฮักนักหรือไร
ooooooo
คำพูดของหนุ่มแปลกหน้าทำให้มณีรินต้องคิดหนัก เธอนึกเบื่อสิ่งรอบตัวจึงบอกกับคำเที่ยงว่าจะออกไปเก็บดอกกรรณิการ์ในสวนมาย้อมไหมเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
ระหว่างที่เก็บดอกกรรณิการ์อยู่นั้น มณีรินได้ยินเสียงพิณเปี๊ยะดังกังวานแว่วมาจึงเดินตามเสียงนั่นไป เธอพบชายสองคนเรียนสอนพิณเปี๊ยะกันอยู่ท้ายสวน แล้วเธอก็หลุดหัวเราะออกมาเมื่อชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้เล่นพิณเพี้ยนแต่ไม่ยอมรับ เจ้าศิริวงศ์หันขวับไปมอง เพราะเสียงหัวเราะนั้น เหมือนหัวเราะเยาะตน
“ผู้ใดหลบอยู่ตรงนั้น ทำลับๆล่อๆเป็นหัวขโมยก๊า” เจ้าศิริวงศ์หันมา มณีรินไม่ทันมองหน้าก็รีบหลบวูบซ่อนตัวเงียบ เจ้าศิริวงศ์ลุกขึ้นมา มณีรินเห็นท่าไม่ดี ถอยหลังหนีและโกยวิ่งออกไป
เจ้าศิริวงศ์เห็นพุ่มไม้ไหวๆ ก็ออกวิ่งไล่กวดไป สล่าพัน รีบตามเพราะหญิงผู้นั้นดูคลับคล้ายใครคนหนึ่ง
เมื่อเจ้าศิริวงศ์วิ่งมาทัน มณีรินตัดสินใจหันมาพุ่งชนเขาเพื่อจะหนีต่อแต่พลาดหกล้มลงไปนอนร้องโอดโอย
“เป็นจะได...หัวขโมย” เจ้าศิริวงศ์เดินยิ้มสะใจเข้ามา
“เฮาบ่ได้เป็นหัวขโมย” มณีรินตอกกลับแต่ยังก้มหน้านิ่ง
“บ่ได้เป็นหัวขโมย แล้วจะได ทำลับๆล่อๆ เรือนเจ้าอยู่ที่ใด บ่ฮู้ก๊าในนี้เป็นเขตคุ้มเจ้าหลวง เจ้านี่กล้าเกินแม่ญิง เจ้าคงบ่ฮู้ว่าเจ้ากำลังเอิ้นอยู่กับผู้ใด”
“สำคัญจะได เจ้าก็แต่ผู้ชายคนพาลรำบ่ดี โทษปี่โทษกลอง ดีดพิณเสียงเพี้ยน ก็โทษว่าขึ้นสายบ่ดี น่าหัวนัก” มณีรินหันกลับมาเผชิญหน้าศิริวงศ์ แล้วก็ตะลึงเมื่อเห็นชายหนุ่มเต็มตา
“คุณสุริยวงศ์ เป็นคุณจริงๆน่ะเหรอ” เรรินลืมตาขึ้นพอจะเข้าใจอะไรรางๆ แล้วหันมาบอกกับเจ้าศิริวัฒนา“หลวงพ่อที่วัด เมื่อเช้านี้ บอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระแสแห่งกรรม กรรมที่ผูกรัดทุกคนเอาไว้ได้พบพาน”
“อย่าแปลกใจเลย ผู้คนที่คุณได้พบพานล้วนผูกพันกันมาทั้งสิ้น” เจ้าศิริวัฒนาช่วยอธิบาย
เรรินอึ้งนึกถึงสุริยวงศ์ขึ้นมาทันที
ทางด้านสุริยวงศ์ เขากำลังจัดการกับธนินทร์ที่บุกเข้ามาทำร้ายถึงในร้าน เพราะไม่พอใจเรื่องเรริน พนักงานช่วยกันจับธนินทร์โยนออกไปนอกร้าน ทำให้ธนินทร์แค้นใจประกาศกร้าว
“มึงอย่ามาวุ่นวายกับคนของกูอีก เรรินมันเมียกูถ้ามึงคิดจะเป็นชู้กับเมียชาวบ้านกูเอามึงถึงตายแน่” ธนินทร์เดินฮึดฮัดออกไป
สุริยวงศ์มองตามอึ้งๆเพราะในที่สุดโจทก์ก็เจอโจทก์ตัวจริง
ส่วนบัวเงินแค้นมณีรินจัด “มึงเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับกูแต๊ๆอีมณีริน” บัวเงินจ้องมองลวดลายข้างหมอนนึกถึงเหตุการณ์ในวันเก่าๆ เมื่อครั้งพระชายามอบหมายให้เธอเป็นครูสอนทอผ้าแบบล้านนาให้มณีริน เธอจำต้องปั้นยิ้มใสซื่อรับคำสั่ง แต่พอลับหลังก็แอบกลั่นแกล้งมณีรินสารพัดหวังจะให้ถอดใจเลิกเรียน แต่มณีรินกลับฮึดสู้หมั่นฝึกฝนและพัฒนาฝีมือจนผ้าทอของเธอก็เป็นที่ยอมรับ
“กูบ่กึ๊ดเลยว่า กูสอนตะเข้หื้อว่ายน้ำแต๊ๆอีมณีริน”
ooooooo
เทียนบนหัวเสาถูกเป่าให้ดับลง เรรินเงยหน้าขึ้นจากผ้าที่ทอ รู้สึกปวดตามิใช่น้อย เจ้าศิริวัฒนาเอ่ยเตือนให้พักอย่าหักโหม
“ฉันคิดว่า ฉันพอจะจับลายที่เจ้านางมณีรินท่านทอทิ้งเอาไว้ได้แล้วละค่ะ ฉันอยากจะทอให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทอได้ เพราะโอกาสที่ฉันจะเข้ามาในนี้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน”
“จะกี่ปีกี่ชาติ  เจ้ารินก็เป็นคนมุ่งมั่นไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
“อุปสรรคเป็นสิ่งที่เราต้องฝ่าฟันไปให้ได้ ความสำเร็จคือศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจนี่คะ”
“จิตใจเจ้าริน งดงามอย่างนี้นี่เอง”
“คุณเล่าให้ฉันฟังต่อได้ไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง”
“ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคงอยากรู้เรื่องของศิริวงศ์ คุณหลับตาลงสิ ผมจะพาคุณไปดู” เจ้าศิริวัฒนาสั่งเรรินค่อยๆหลับตาลง เจ้าศิริวัฒนาเอื้อมมือมาตรงหน้าแล้วพาเธอกลับไปในอดีต
คำเที่ยงยกของว่างและน้ำชาเข้ามาให้มณีรินพลางบ่นว่า เจ้านางน้อยนั่งอ่านหนังสือไม่ขยับไปไหนมาตั้งแต่เช้าแล้ว มณีรินส่งยิ้มชวนให้คำเที่ยงอ่านหนังสือด้วยกันเพราะยิ่งอ่านยิ่งสนุก
“โอ้ย...งานการต้องยะ บะร่ำบะเหรอ พี่บ่เอาดอกเจ้านางน้อยนั่งอยู่นี่เน้อ พี่จะไปดูเปิ้นยะข้าวแกงในครัว”คำเที่ยงจะออกไปแต่แล้วต้องเบรกกึก เพราะเจ้าศิริวงศ์เดินเข้ามาหาระยะใกล้แล้ว นางทำตัวไม่ถูก ได้แต่ทรุดตัวลงพับเพียบกับพื้นพลางบุ้ยใบ้ให้มณีรินรู้ตัวว่า เจ้าศิริวงศ์มา มณีรินเห็นก็ลุกพรวดขึ้นต้อนรับ
“นั่งตามสบายเต๊อะ เฮาผ่านมาทางนี้พอดี นึกขึ้นได้ว่าวันก่อน เฮาทำหื้อเจ้านางมณีรินเจ็บขา อาการเป็นจะไดพ่อง” เจ้าศิริวงศ์เอ่ยถาม แต่มณีรินมัวอึ้งๆงงๆ
“ยังเจ็บกะร่องกะแร่งอยู่เจ้า เวลาเดินก็กะโผลก กะเผลก” คำเที่ยงตอบแทน
“แล้วกินยา ทายาอะหยังก่อ”
“ยากินบ่ได้กินเจ้า ทาแต่ยาทาของหมอเมืองจีน”
“เฮาถามนายของเจ้า จะไดโตตอบแทนนายโตหมด นายของเจ้าเจ็บปากโตยจนอู้บ่ ได้เหรอจะได” เจ้าศิริวงศ์ล้อ
“ใครบอกว่าเฮาเจ็บปาก บ่ได้เจ็บซักเตื้อ” มณีรินสะบัดงอนพองาม
ศิริวงศ์อมยิ้มพลางส่งลูกประคบที่ห่อผ้าขาวให้ “ทายาหมอจีน ยังบ่หาย ก็ลองลูกประคบเชียงใหม่นี่ดูเน้อ เฮาหื้อหมอหลวงจัดมาหื้อเจ้านางมณีรินโดยเฉพาะ”
มณีรินรับรู้น้ำใจเจ้าศิริวงศ์แต่ยังถือตน เจ้าศิริวงศ์จึงยื่นให้คำเที่ยงแทนพลางตัดพ้อ “โต รับลูกประคบนี่แทนนานโตนี่เต๊อะคำเที่ยง นายโตคงจะยังเคืองเฮาอยู่ เฮาอู้อะหยังโตย ก็บ่ฮู้โตยเฮา จะขอบใจเฮาสักคำ ก็บ่มี”
คำเที่ยงคลานเข้ามารับลูกประคบไปจากเจ้าศิริวงศ์พร้อมกับได้ยินมณีรินเอ่ยคำขอบใจ
เจ้าศิริวงศ์ยิ้มๆ หยิบหนังสือที่มณีรินอ่านขึ้นมาดูก่อนเปรย “ประวัติศาสตร์โลก อ่านแล้วปวดหัวจะต๋าย อ่านไปยะหยังน้อ”
“ผู้ใดกึ๊ดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ บ่มีประโยชน์อะหยัง ก็ช่าง เฮาอยากเห็นโลกนี้หื้อมากๆ เฮาบ่มีโอกาสเดินทางไกลๆ เฮาก็ต้องเดินทางไปกับหนังสือเล่มนี้แหละ”
“เรายังบ่ได้ว่าอะหยังสักเตื้อ คำเที่ยงเจ้าได้ยินก่อ หรือหูของเจ้านายโตบ่ดี”
มณีรินหันขวับไปเผชิญหน้าเจ้าศิริวงศ์ แต่ก็โกรธไม่ลง เพราะรอยยิ้มและแววตาที่แจ่มใส่ของเขา
“ศิริวงศ์ น้องมาอยู่แถวนี้ได้จะได” เจ้าศิริวัฒนาเดินเข้ามาทัก
“น้องเดินเล่นมาเรื่อยๆ นะครับเจ้าอ้าย”
“แล้วนี่รู้จักกันแล้วก๊า เจ้ารินนี่ศิริวงศ์ น้องชายพี่ ศิริวงศ์เปิ้นไปเรียนหนังสืออยู่พระนครแต่น้อย เพิ่งจะได้ปิ๊กมาเชียงใหม่ น้องเรียนวิชาอะหยังเป็นวิชาหลักนะ พี่เลือนๆ เสียแล้ว”
“ประวัติศาสตร์กับกฎหมายครับเจ้าอ้าย”
“เจ้านางมณีรินเปิ้นก็สนใจ๋วิชาประวัติศาสตร์เหมือนกัน คงจะได้คุยกันสนุกละ”
“น้องว่า เผลอๆพี่สะใภ้ของน้องจะรู้เรื่องประวัติศาสตร์ลึกซึ้งกว่าน้องนะสิครับเจ้าอ้าย”
มณีรินรู้สึกทะแม่งๆกับคำเรียกพี่สะใภ้ เพราะเป็นสถานภาพที่ไม่อยากได้รับ
ooooooo
“ดึกมากแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ” เจ้าศิริวัฒนาเตือนเรรินที่ยังตั้งหน้าตั้งตาทอผ้าอยู่
“ฉันว่าฉันยังทอผ้าต่อไหว ฉันอยากจะทอให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เพราะคุณอยากรู้เรื่องในอดีต อย่าใจร้อนเกินไปนักเลย เพราะถ้าคุณได้รู้เรื่องราวมากเข้า คุณอาจจะล้มเลิกความคิดที่จะทอผ้าผืนนี้ให้เสร็จก็ได้”
“ทำไมคะ ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจะล้มเลิกความตั้งใจของฉันกลางคัน”
“มนุษย์เป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายล้าง ความมหัศจรรย์มากมายหลายสิ่งในโลกนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะฝีมือมนุษย์ ในขณะเดียวกัน ความอัปยศน่าหดหู่ ก็บังเกิดขึ้นเพราะน้ำมือมนุษย์เช่นเดียวกัน เชื่อผมเถอะเจ้ารินผมทนรอคอยมาได้เจ็ดสิบปีกับแค่อีกสองอาทิตย์ตามที่คุณบอกผมไว้ว่าคุณจะทอผ้าให้เสร็จ ทำไมผมจะรอคอยไม่ได้ ราตรีสวัสดิ์”เจ้าศิริวัฒนายิ้มให้ก่อนจะหันหลังแล้วเดินหายเข้าไปในภาพเขียนสีน้ำมัน
เรรินยอมตัดใจ เธอเดินออกมาจากห้องทอผ้า อาศัยความมืดหลบไปที่ประตูเล็กใต้ซุ้มที่ใช้เป็นทางเข้าออกของคนงาน และทันทีที่เรรินออกมาด้านนอก เธอได้ยินเสียงหมาหอนรับต่อกันมาเป็นทอดๆ เพราะผีอีเม้ยรอเล่นงานอยู่ แต่มันก็ทำอะไรเรรินไม่ได้อีกตามเคยเพราะเธอมีพระเครื่องช่วยคุ้มครอง
ขณะที่เรรินเดินทางกลับที่พัก ภาพในอดีตครั้งที่เจ้าศิริวัฒนาเดินคุยกับเจ้าศิริวงศ์ออกมาจากเรือนพักมณีรินก็มาปรากฏขึ้น เจ้าศิริวงศ์เอ่ยถามพี่ชายว่า หลังจากอภิเษกแล้วจะจัดการอย่างไรเรื่องบัวเงิน เพราะดูท่ามณีรินเป็นหญิงสมัยใหม่คงรับไม่ได้เรื่องผู้ชายหลายเมีย แต่เจ้าศิริวัฒนายืนยันว่าไม่เป็นปัญหา เพราะเชื่อว่ามณีรินกับบัวเงินต้องเข้าใจ
“แต่พี่กึ๊ดผิด พี่กึ๊ดแต่ด้านของตัวเอง บ่เคยนึกถึงจิตใจของผู้อื่น พี่เป็นคนเห็นแก่ตัวมาก ใช่ก๊า” เจ้าศิริวัฒนาเอื้อมมือมาลูบผ้าบนกี่ “ถึงผ้าผืนนี้จะบ่มีวันทอเสร็จตุ๊ม พี่ก็บ่เสียใจ๋ เพราะเป็นบาปเป็นกรรมของพี่คนเดียว” ศิริวัฒนายืนเหงาวังเวงอยู่กับกี่ทอผ้า
เรรินกลับมาถึงรีสอร์ต ก็พบสุริยวงศ์มารออยู่ เธอแปลกใจที่เห็นหน้าของเขามีรอยเขียวช้ำจึงเอ่ยถาม
“หน้าคุณ ไปโดนอะไรมาอุบัติเหตุเหรอคะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันทำให้ผมหวงคุณเป็นร้อยเท่า พันเท่า เพราะคู่หมั้นของคุณ เขาตามคุณมาถึงเชียงใหม่นี่แล้วครับ”
“ธนินทร์” เรรินใจหายวาบ
“เขาจะพาตัวคุณรินกลับไปให้ได้ ตอบผมได้ไหมครับคุณริน ว่าถึงเวลาที่คุณจะต้องกลับไปกับเขาแล้วและวาสนาของผมก็มีเพียงเท่านี้” สุริยวงศ์ตาแดงก่ำ
เรรินน้ำตาร่วงพรูโผเข้ากอดสุริยวงศ์แน่น เหมือนขอยึดไว้เป็นที่พึ่งสุดท้าย
สุริยวงศ์ค่อยๆยกมือขึ้นโอบกอดร่างเรรินไว้ เพราะร่างอันสั่นสะท้านและการร้องไห้ของเธอ เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า เธอต้องการความช่วยเหลือ
ooooooo

วันดาราทำแผลพลางบ่นไปพลาง เธอโกรธที่น้องชายโดนทำร้าย ครั้นได้ยินเรรินว่า คนที่ชกสุริยวงศ์ คือธนินทร์คู่หมั้นของเธอเองก็ถึงกับชะงัก รีบเปลี่ยนเรื่องขอให้สุริยวงศ์พักที่รีสอร์ต เพื่อความปลอดภัย แล้วลุกเดินออกไปเปิดห้องให้

“ขอบคุณครับคุณริน” สุริยวงศ์หันมาเอ่ยเพราะดีใจที่เธอไม่ปิดบังวันดารา

“ฉันหนีมาเชียงใหม่ครั้งนี้ก็เพราะเขา ก่อนหน้านี้ฉันคิดตลอดเวลาว่าฉันทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องทนกับผู้ชายอย่างเขาด้วย” เรรินระเบิดออกมา

เวลาเดียวกันนั้น ธนินทร์ก็ไประบายอารมณ์กับสรัญญาที่โรงแรม และยืนยันว่าจะไม่ยอมเสียเรรินให้สุริยวงศ์ อย่างเด็ดขาดเพราะเสียศักดิ์ศรี สรัญญาเหนื่อยใจเตือนให้ธนินทร์เบาเสียงลงเพราะกลัวข้างห้องด่า แต่กลับโดนตวาด

“เดี๋ยวกูตบคว่ำเลย ใครเป็นคนจ่ายเงิน ถ้าไม่ใช่กู”

สรัญญาหน้าหงิกเดินหนีไปมุมหนึ่ง ธนินทร์มองตามตาขวางเพราะยังขุ่นมัวไม่หายแค้น

ด้านสุริยวงศ์เมื่อได้ฟังเรื่องราวความเลวที่ธนินทร์ทำไว้กับเรรินจบลงก็อดถามไม่ได้

“แล้วผู้ใหญ่ ไม่รู้เรื่องนี้เลยเหรอครับ”

“เขาเป็นคนเล่นละครตบตาใครต่อใครได้แนบเนียนค่ะ ต่อหน้าอย่างหนึ่งแต่ลับหลังเหมือนเป็นอีกคนหนึ่ง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย คิดว่าเราเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก แต่ไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่าฉันต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหน มาเชียงใหม่ครั้งนี้ ฉันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าฉันจะไม่ยอมทนอีกต่อไป ฉันจะขอถอนหมั้นกับเขาค่ะ”

“คุณริน...ผมขอเป็นคนปกป้องคุณรินนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็ยินดี” สุริยวงศ์ให้สัญญา

แต่เรรินยังสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอขอตัวกลับห้องพัก แล้วโทร.หาพรรณวรินทร์หวังจะได้กำลังใจจากแม่ แต่กลับโดนบังคับให้กลับกรุงเทพฯ เพื่อยุติปัญหา

“รินยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะแม่ เพราะรินมีธุระสำคัญต้องทำให้เสร็จ แต่แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ เรื่องของรินกับเขา จะไม่ทำให้แม่ต้องเสียหน้าแน่นอนค่ะ เท่านี้ก่อนนะคะแม่” เรรินวางสายแล้วหันไปจับปากกาเขียนบันทึกสิ่งที่ได้พบเจอในวันนี้ลงสมุดไดอารี่ แต่ยิ่งเขียนก็ยิ่งเครียดจนต้องหยิบยาแก้ไมเกรนมากิน

ระหว่างหยุดพักสายตา เรรินหยิบปิ่นทองคำรูปดอกปีบขึ้นมาดูพลางรำพึง “ฉันอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด ขอให้ฉันได้รู้ได้เห็นด้วยเถอะ” ทันใดนั้น เสียงพิณเปี๊ยะก็กรีดกังวานขึ้น

ปิ่นทองคำรูปดอกปีบในมือเรรินกลับกลายเป็นดอกปีบสดในมือมณีริน เจ้านางน้อยนั่งร้องไห้อยู่ในสวน สักพักเจ้าศิริวงศ์ก็เดินเข้ามาทักจากทางด้านหลัง

“เจ้านางน้อย จะไดมานั่งอยู่คนเดียว ทุกทีต้องเห็นพี่เลี้ยงข้างโตตลอดเวลานี่นา”

มณีรินรีบซับนํ้าตาด้วยผ้าเช็ดหน้า ศิริวงศ์เห็นก็ชะงักรีบเอ่ยถามว่า ร้องไห้ทำไม มณีรินปดว่า ผงเข้าตา แต่ศิริวงศ์รู้ทัน เขาพูดดักคอจนมณีรินยอมสารภาพว่า เธอร้องไห้เพราะคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อเจ้าแม่เจ้า และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เธอไม่อยากแต่งงาน

“นอกจากพี่คำเที่ยงแล้ว โตเป็นคนเดียวเน้อที่ฮู้เรื่องนี้ โตคงกึ๊ดว่าเฮาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เพราะบ่มีแม่ญิงคนใด บ่อยากแต่งงานกับเจ้าอ้ายของโตดอกใช่ก๊า”

“บ่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดอะหยังดอกเจ้านางน้อย คนเฮาจะแต่งงานกั๋น ร่วมชีวิตกั๋น มันก็ควรจะมีความฮักเป็นจุดเริ่มต้น ถึงเจ้าอ้ายของเฮากับเจ้านางน้อยจะถูกหมั้นหมายกันเอาไว้แต่น้อยแล้ว แต่จะว่าไปต่างฝ่ายต่างก็ยังบ่ได้ฮู้จักนิสัยใจคอตีๆกันเลย เจ้านางน้อยทำใจหื้อสบายเต๊อะยังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงงานแต่งงาน เจ้าอ้ายของเฮาเปิ้นเป็นคนดีนักขนาด เฮาว่าเจ้านางน้อยจะฮักเจ้าอ้ายของเฮาได้บ่ยากดอก”

มณีรินมองเจ้าศิริวงศ์เต็มตา มิตรภาพก่อเกิดขึ้นแน่นแฟ้นด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง

“เฮาว่าเจ้านางน้อยเบื่อแล้วก็เครียด เพราะบ่ไดออกไปเปิดหูเปิดตา แอ่วเวียงเชียงใหม่ให้ม่วนมากกว่า”

“เฮาอยากออกไป แต่เฮาบ่ฮู้จะไปจะได”

“อยากไปแต๊ๆ ก็บ่ยากดอกเจ้านางน้อย” เจ้าศิริวงศ์อมยิ้ม

มณีรินไม่รอช้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือน เพื่อจะออกไปแอ่วกาดกับเจ้าศิริวงศ์ คำเที่ยงเห็นว่าไม่เหมาะสมรีบทัดทาน แต่สุดท้ายก็โดนมณีรินลากตัวออกไปด้วยกัน

ขณะที่เรรินจมดิ่งอยู่กับเรื่องราวในอดีต อีเม้ยก็ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดร้องเรียกให้บัวเงินช่วยมันด้วย

“กูจะช่วยมึงได้จะได อีเม้ย มึงมันโง่เง่าเอง เลิกฮ้องครวญครางเสียที กูชังเสียงไห้ของมึงนัก กูแน่ใจ๋ตั้งแต่แรกเห็นว่าอีมณีริน มันปิ๊กมาเพื่อควักดวงใจของกู...อีแม่ญิงแพศยามันกึ๊ดว่าถ้ามันได้หลานกูไปครอง มันจะเย้ยกูได้ มึงฝันไปเต๊อะ อีมณีริน มึงฝันไปเต๊อะ” บัวเงินเดินพล่านด้วยความคับแค้นใจ

ภาพในอดีตครั้งที่เธอแอบเห็นเจ้าศิริวงศ์พามณีรินออกไปแอ่วกาดผุดขึ้นมา

“หม่อมเจ้าขา นั่นมันเจ้าศิริวงศ์นี่เจ้าคะ เม้ยบ่ได้ตาฝาดใช่ก๊า” อีเม้ยตาวาว

“ถ้ามึงตาฝาด กูก็ตาฝาดเหมือนมึงน่ะแหละอีเม้ย”

“มันคงพากันหนีออกไปแอ่วเวียงนะเจ้าคะหม่อม อีพวกหูป่าตาเถื่อน มาแต่บ้านป่าเมืองไกลบ่เคยหันเวียงเชียงใหม่ น่าสมเพชแต๊ๆนะเจ้าคะหม่อม” อีเม้ยหัวเราะร่วน

“กูสมเพชความง่าวของมันมากกว่า อีเม้ย มันคงบ่ฮู้กฎระเบียบของคุ้มเจ้าหลวง มึงคอยดูเต๊อะมันปิ๊กมาเมื่อใดมันจะม่วนบ่ออก” บัวเงินยิ้มร้าย ชักชวนอีเม้ยเข้าเฝ้าพระชายาฟ้องเรื่องมณีรินแอบหนีไปแอ่วกาด แต่ต้องหน้าแตกเพราะพระชายากลับไม่ถือโทษเมื่อรู้ว่าเจ้าศิริวงศ์ไปด้วย

“เจ้าบ่ต้องห่วง ข้าบ่ดีเอง ลืมไปว่าเจ้านางน้อยเปิ้น

อยู่แต่ในคุ้ม ตั้งแต่มาจากเชียงตุงยังบ่ได้ผ่อเวียงของเฮาเลย เปิ้นคงจะเบื่อละ ศิริวงศ์อุตส่าห์เป็นธุระปะปังหื้อปิ๊กมาคุ้มข้าจะต้องขอบใจศิริวงศ์หน่อยแล้ว” ขาดคำพระชายา

บัวเงินก็นํ้าตาร่วงเผาะสะอื้นไห้ฟูมฟายว่า เธอน้อยใจเพราะเป็นเมียเจ้าศิริวัฒนามาก่อน แต่เป็นได้แค่เมียบ่าวเท่านั้น

“บัวเงิน...ข้าบ่มีทางเลือก ศิริวัฒนาก็บ่มีทางเลือก แล้วเจ้ากึ๊ดว่าอย่างใดจึงจะยุติธรรม”

“แค่จะสานไมตรีเมืองเชียงตุง จะใดบ่หื้อข้าเจ้าอภิเษกกับเจ้าพี่ ส่วนเจ้านางมณีรินก็หื้อเปิ้นอภิเษกกับเจ้าน้อยเปิ้นไป”

“ศิริวงศ์ยังเด็กเกินไป อีกอย่าง...การอภิเษกครั้งนี้หมายถึงความสัมพันธ์ของสองอาณาจักร วันข้างหน้าศิริวัฒนาจะต้องขึ้นเป็นเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ บ่ใช่ศิริวงศ์ เจ้านางมณีริน เปิ้นจึงมีค่าควรอภิเษกกับศิริวัฒนาเท่านั้น บัวเงิน”

“ทำไม ทำไมต้องเป็นเจ้าพี่ของข้าเจ้าด้วย แม่เจ้าหาทางช่วยข้าเจ้าบ่ได้ก๊า เอ็นดูข้าเจ้าเต๊อะ” บัวเงินคลานเข้ามากอดเท้าพระชายา

“ข้าจะยะอะหยังได้ เจ้าหลวงเปิ้นตัดสินใจจะอั้นไปแล้ว หักอกหักใจเสียเต๊อะบัวเงิน จงคิดถึงบ้านเมืองเอาไว้หื้อมากๆเฮาเกิดมาเป็นไพร่ฟ้าฝุ่นเมือง เมื่อมีโอกาสตอบแทนคุณแผ่นดินจงทำหื้อดีที่สุดเต๊อะ” พระชายาถอนใจ

บัวเงินกลับมานั่งฟูมฟายต่อที่ในเรือน อีเม้ยสงสารนายเป็นที่สุด มันเข้ามาปลอบใจพลางแนะนำให้บัวเงินมีลูกกับเจ้าศิริวัฒนา และถ้าเป็นลูกชายได้ก็ยิ่งดี

“อีง่าว...กูบ่ได้อยากมีลูกกับเปิ้น กูอยากเป็นพระชายาเปิ้น มึงยู่กับกูมาตั้งหลายปี๋ มึงบ่ฮู้ใจกูก๊า อีเม้ย”

“เม้ยฮู้เจ้าค่ะหม่อมเจ้าขา แต่ตราบใดที่งานอภิเษกยังบ่เกิดขึ้น ก็หมายความว่า โอกาสของหม่อมยังบ่มอดมดไป๋ บ่ใช่ก๊า เม้ยบ่อยากหันหม่อมของเม้ยมีความทุกข์ หม่อมไห้แล้วบ่งาม เฮายังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือน หม่อมจะทุกข์ไปไยเจ้าหม่อมต้องยิ้มไว้เน้อ เพราะหม่อมของเม้ยงามที่สุด หัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เจียงใหม่ เจียงฮาย แป้ น่าน ยันอุตรดิตถ์ เมืองลับแล หม่อมของเม้ยงามกว่าผู้ใด งามที่สุดเจ้า” อีเม้ยเตือนสติ

บัวเงินได้คิดค่อยๆ ยิ้มออกเรียกความมั่นใจกลับคืนมา และในวันนี้บัวเงินก็ยังรู้สึกเหมือนวันนั้นในอดีต เธอผุดรอยยิ้มเย็นน่ากลัวเหมือนน้ำที่ลึกจนยากจะหยั่งออกมา พลางเอ่ยกับอีเม้ย

“แต๊อย่างมึงอู้ โอกาสของเฮายังบ่มอดมดไป๋ ต่อหื้อมันปิ๊กมาจองเวรกะกูกี่ชาติกี่ชาติกูก็จะขอเหยียบมันทิ้งจมดิน อย่างที่กูเคยเหยียบมันมาแล้ว”

“หม่อมจะมีบัญชาหื้อเม้ยยะอะหยัง หม่อมก็บัญชามาเต๊อะเจ้า” ผีอีเม้ยหมอบรออยู่ข้างกาย

ooooooo

เช้าวันใหม่ สุริยวงศ์เอ่ยถามเรรินที่นั่งทานอาหารอยู่ด้วยกันว่า เธอจะออกไปไหนบ้างจะได้ไปส่ง เรรินอึกอักเพราะภารกิจเดียวที่อยากไปทำคือทอผ้าให้เสร็จ

“วันนี้ที่วัดโมฬี เปิ้นจัดเป็นกาดมั่วถนนคนเดินเน้อสุริยะ น่าจะมีของขายเยอะอยู่” วันดาราแนะนำ

“สนใจไหมครับคุณรินไม่ซื้ออะไรแค่เดินดูข้าวของก็ม่วนแล้วครับ” สุริยวงศ์ชวน

เรรินตัดสินใจได้ไม่ยากเมื่อเห็นสายตาแจ่มใส เต็มไปด้วยความสนุกล่วงหน้าของเขา

ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึง กาดมั่วบริเวณลานวัด พ่อค้าแม่ค้าแต่งตัวร่วมสมัยนั่งขายของกันหน้าสลอน แม่ค้าคนหนึ่งชักชวนให้เรรินชิมขนมที่เพิ่งทำเสร็จ

“ลองชิมไหมครับ” สุริยวงศ์จิ้มขนมชิ้นเล็กขึ้นมาให้เรริน

“บ่ได้เน้อ เจ้านางน้อย อย่ากิ๋น...” เสียงคำเที่ยงโหวกเหวกมาแต่ไกล

เรรินชะงักหันไปมอง สิ่งที่เห็นในปัจจุบันค่อยๆ เปลี่ยนไป กลายเป็นภาพในอดีตภาพ เห็นคำเที่ยงวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามาห้ามไม่ให้มณีรินชิมมะม่วงดองที่แม่ค้าส่งให้เพราะกลัวท้องเสียหรือไร

“ฮับมาจากมือแม่ค้าเปิ้นแล้ว จะคืนเปิ้นได้จะได

เปิ้นมองตาเขียวแล้วบ่หันก๊า ขืนเอิ้นว่ามะม่วงดองเปิ้นบ่ดี มีหวังเปิ้นด่ากาดแตกแน่” เจ้าศิริวงศ์ขู่

“แล้วข้าเจ้าจะยะจะได”

“คำเที่ยงน่ะแหละต้องเป็นคนชิม” เจ้าศิริวงศ์สั่ง

คำเที่ยงจำใจรับมะม่วงดองมาจากมณีรินมาใส่ปากตัวเอง แล้วพบว่าอร่อยดีเหมือนกันจึงขอซื้อ

ศิริวงศ์ล้อว่าไม่กลัวเสาะท้องหรือ
“จะเสาะก็คงเสาะบ่เมินดอกเจ้า” คำเที่ยงหัวเราะเก้อ
เมื่อได้มะม่วงดองสมใจแล้วคำเที่ยงก็จัดแจงกางร่มให้มณีรินเพราะแดดแรง แต่มณีรินไม่ชอบจึงเดินหนี
“เจ้านางน้อย จะไดย่างไวนัก รอพี่โตยพี่ตามบ่ทันเน้อ เดี๋ยวหลง”
“กาดน้อยๆ จะอี้ จะหลงกันได้จะได”
“บ่ฮู้ละ อย่างใดพี่ก็ต้องเฝ้าเจ้านางน้อยบ่หื้อคลาดสายตา” คำเที่ยงกันท่า
เจ้าศิริวงศ์ขำท่าทีของคำเที่ยง ขณะมณีรินชักระอาเพราะคำเที่ยงคอยห้ามโน่นนี่ทำให้หมดสนุก เจ้าศิริวงศ์จึงออกอุบายหลอกคำเที่ยงไปดูปาหี่ แล้วแอบพามณีรินเดินเที่ยวตามลำพัง
มณีรินตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแปลกใหม่ที่พบเจอ เจ้าศิริวงศ์เห็นมณีรินยิ้มได้ก็แกล้งล้อ
“เจ้านางน้อย หัวได้แล้วม่วนใจ๋ได้แล้วก๊า”
“ความสุขชั่วครู่ชั่วยามพอปิ๊กคืนคุ้มเจ้าหลวง เฮาก็ต้องปิ๊กคืนสู่ความเป็นจริง”
“ถ้าเจ้านางน้อยเปิดใจ๋จักน่อย เจ้านางน้อยจะหันว่าเจ้าอ้ายของเฮาเปิ้นเป็นคนดีนักขนาด เจ้านางน้อยจะฮักเจ้าอ้ายของเฮาได้บ่ยากดอก”
“เฮาบ่ได้อู้ว่าเปิ้นบ่ใช่คนดีซักเตื้อ”
“เจ้านางน้อยบ่อยากแต่งงานกับเจ้าอ้ายของเฮา เพราะเปิ้นมีบัวเงินเป็นหม่อมของเปิ้นอยู่แล้วใช่ก๊า”
“นั้นเป็นเหตุผลนึ่ง แม่ญิงทุกคนก็หวังหื้อคู่ชีวิตของตั๋วฮักเดียวใจ๋เดียวกันทั้งนั้น เฮาฮู้แทนใจ๋เอื้อยบัวเงินโตย เฮาเอ็นดูเอื้อยบัวเงินนัก เปิ้นก็คงทุกข์ใจ๋บ่ใช่น้อยที่เฮาเหมือนเป็นคนที่เข้ามาแทรกกลาง มาแย่งความฮักของเปิ้น”
“เฮาว่าบัวเงินต้องเข้าใจ๋ เป็นไพร่ฟ้าฝุ่นเมื่องก็ต้องเคารพธรรมเนียมประเพณี”
“จะไดเฮาก็ยังบ่อยากแต่งงาน เฮาว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก เฮาอยากหันโลกใบนี้หื้อเต็มตาเสียก่อน วันใดที่เฮาแต่งงานโลกของเฮาก็คงเหลือแคบเท่าเขตคุ้มเจ้าหลวงนั่นเอง” มณีรินดูหม่นหมอง
เจ้าศิริวงศ์มองมณีรินอย่างเห็นใจและเข้าใจยิ่งนัก
แล้วทันใดนั่นเอง วัวเทียมเกวียนสองตัวที่ตื่นตกใจจนคุมไม่อยู่ก็วิ่งฝุ่นตลบเข้ามาในงาน และเบื้องหน้าของมันคือร่างของมณีริน
“เจ้ารินระวัง...” คำเที่ยงตะโกนลั่น
ทันใดนั้นร่างเรรินในปัจจุบันล้มคะมำ เหมือนหงายหลังลงมาและสุริยวงศ์รับตัวเอาไว้ได้ทัน วงพระจันทร์พุ่งเข้ามา ด้วยความโกรธ
“อีสารเลว ไม่มีปัญญาหาผู้ชายของตัวเองแล้วรึไง ถึงได้มาแย่งของคนอื่นเขายังงี้” วงพระจันทร์จะตบซ้ำ แต่สุริยวงศ์เอาตัวเข้ากันเรรินและคว้าฝ่ามืออรหันต์ของวงพระจันทร์ เอาไว้ได้ทัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะวงพระจันทร์ ทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่า”
“แค่ตบมันยังน้อยไป อีคนหน้าด้านอย่างมัน ต้องเจอหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“คุณริน...หลบไปก่อนครับ”
เรรินหน้าแดงเป็นปื้นทั้งเจ็บ ทั้งงงรีบเดินออกไป วงพระจันทร์ขู่ไล่หลังเรริน “ไปกลับกรุงเทพฯของแกไปเลย ขืนยังมาลอยหน้าลอยตาอยู่แถวนี้อีกอย่าหาว่าไม่เตือน”
สุริยวงศ์โกรธจัดผลักวงพระจันทร์ลงไปดิ้นพราดๆ ลงกับพื้นแล้วเดินหนีไป
วงพระจันทร์กรี๊ดสนั่นรีบกลับไปฟ้องบัวเงิน พร้อมแต่งเรื่องโยนความผิดไปให้เรรินอีกตามเคย บัวเงินนั่งฟังนิ่งนึกถึงเรื่องราวในครั้งก่อน เพราะเธอเองก็เคยแต่งเรื่องไปฟ้องเจ้าศิริวัฒนาว่า มณีรินแอบหนีไปนอกคุ้มหวังจะให้มณีรินโดนตำหนิ แต่เจ้าศิริวงศ์เข้ามาช่วยแก้ต่างให้
“อันที่จริงน่ะน้องเป็นคนออกปากชวนเจ้านางน้อยเปิ้นเอง เจ้าพี่น้องหันว่าเปิ้นคงจะกึ๊ดถึงบ้านถึงเมืองเปิ้น เพราะเปิ้นดูเหงานักขนาด”
“จะอั้นพี่ก็คงต้องขอบใจ๋เจ้านักนักที่เป็นธุระหื้อพี่อุตส่าห์ช่วยดูแลเจ้านางน้อยเปิ้นแทนพี่ พี่บ่ดีเองวันๆทำแต่งานบ่มีเวลาแม้แต่จะไปถามสารทุกข์สุขดิบเปิ้น”
“เจ้าพี่ก็ต้องจัดสรรเวลาใหม่เน้อ งานบางอย่างถ้าน้องจะช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าพี่ได้น้องยินดี อีกบ่กี่เดือนเจ้าพี่ก็ต้องเข้าพิธีอภิเษกกับเปิ้นแล้ว น้องว่า เจ้าพี่น่าจะรีบสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับเปิ้นหื้อมากๆ เอ็นดูเปิ้น”
“น้องอุตส่าห์เตือนสติพี่ยินดีเน้อ ยินดีนักนักศิริวงศ์” เจ้าศิริวัฒนาพอใจ
บัวเงินก้มหน้านิ่งนึกแค้นใจที่ทำอะไรมณีรินไม่ได้
“แต่ไหนแต่ไรสุริยะเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย แต่ตั้งแต่อีนังผู้หญิงคนนี้มันเข้ามาวุ่นวายกับสุริยะ วงพระจันทร์ว่า สุริยะก็เปลี่ยนไปค่ะคุณย่า พูดจาก็หยาบคาย บางทียังขึ้นกูมึงกับวงพระจันทร์เลย พักหลังนี่เขาก็ไม่ค่อยมาหาคุณย่าด้วยใช่ไหมคะ วงพระจันทร์ว่าคุณย่าคงต้องจัดการอะไรบางอย่างแล้วละค่ะ ถ้าคุณย่าไม่อยากจะสูญเสียสุริยะไปให้อีนังผู้หญิงคนนั้นมันหัวเราะเยาะเอาได้”
วงพระจันทร์ยังคงพล่ามต่อ และเพิ่งสังเกตว่าบัวเงินเงียบและนิ่งผิดปกติ “คุณย่าคะ คุณย่า คุณย่าหลับรึเปล่าคะ” วงพระจันทร์คลานขยับมาหาบัวเงิน แล้วตะลึงงันเพราะคนที่บิดหันคอมาหากลับเป็นผีอีเม้ย
“เมื่อใดมึงจะทุบปากอี่ง่าว” ผีอีเม้ยตวาดใส่
วงพระจันทร์ช็อกตาค้างแข้งขาหมดเรี่ยวแรง เธอกระถดถอยหนีไปไกลลิบก่อนจะโกยอ้าวออกไป
ooooooo
ด้านเรริน เธอแอบเข้ามาในห้องทอผ้า เมื่อนั่งลงที่กี่ทอผ้าก็นึกเซ็งกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้วตัดใจสลัดไล่ความรู้สึกขุ่นมัวนั้นทิ้ง เพื่อจะทอผ้าต่อ
“ผ้าผืนนี้เป็นผ้าแห่งความรัก คุณจะทอให้มันออกมาดีได้ยังไงในเมื่อจิตใจของคุณว้าวุ่นขนาดนี้” เจ้าศิริวัฒนาทัก
ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด เท่าที่ความสามารถของฉันจะมีค่ะเจ้า”
“เพราะคุณกระหายใคร่รู้เรื่องราวในอดีต”
“ในเมื่อฉันเริ่มเดินแล้วฉันก็อยากเห็นกับตาว่า ตรงสุดท้ายของปลายทางเดินมันคืออะไรกันแน่ค่ะ” เรรินมั่นใจ
เวลาเดียวกันนั้น ไหมแมกับเด็กพนักงานก็ช่วยกันยกแฟ้มเอกสารเก่าๆตั้งใหญ่เข้ามาเก็บในห้องที่อยู่ถัดไปจากห้องทอผ้า แล้วไหมแมก็เหลือบไปเห็นห้องทอผ้าไม่มีกุญแจคล้องอยู่ เธอถามลูกน้องว่าใครมาไขกุญแจห้องนั้นแต่ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ก็พี่ไหมแม เป็นคนเก็บฮักษากุญแจห้องนั้นเอง”
“เอ หรือเฮามาไขเอง แล้วลืมคล้องปิดก็บ่น่าเป็นไปได้ เปิดห้องนั้นมาเมินหลายวันมาแล้ว” ไหมแมตัดสินใจเดินนำพนักงานเข้าไปดูให้หายข้องใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าศิริวัฒนาพาเรรินผ่านทะลุประตูแห่งชาติภพพอดี
ไหมแมกับพวกเห็นหน้าภาพเขียนสีน้ำมันมีกลุ่มแสงสว่างสีเขียวทองเหมือนหิ่งห้อยนับล้านตัวที่รวมเป็นกลุ่มก้อนกันอยู่พุ่งทะยานหายเข้าไปในภาพเขียนสีน้ำมันนั้น
“ผีหลอก ช่วยด้วย ผีหลอก”
ทุกคนตาเหลือกค้างกับสิ่งที่เห็น ก่อนใส่หลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้ง เบียดกันออกจากประตู
ooooooo
สุริยวงศ์แวะมาเยี่ยมบัวเงิน เพราะเดาว่าวงพระจันทร์คงมาพูดใส่ไฟเรื่องเรรินไว้เยอะ และบัวเงินคงโกรธมาก แต่ผิดคาด เพราะบัวเงินกลับส่งยิ้มละไมถามหาเรรินอย่างเอ็นดู แถมอนุญาตให้สุริยวงศ์พาเธอมาดูผ้าโบราณที่เก็บไว้ได้
“หลานคบผู้ใด ย่าก็ว่าคนคนนั้นต้องดี แล้วเปิ้นมีไมตรีตอบโตก๊า สุริยะ” บัวเงินแสร้งถาม
“เปิ้นก็บ่ได้ชังบ่ได้ปฏิเสธผมดอกครับคุณย่า”
“ค่อยผ่อกันไปเน้อ ความฮักมันเป็นเรื่องห้ามกันบ่ได้ ย่าเข้าใจ๋ แต่จำไว้เน้อสุริยะใคร่หื้อเปิ้นฮัก ยากนักจักหวัง ใคร่หื้อเปิ้นจัง กำเดียวก็ได้” บัวเงินตบท้ายด้วยสำนวนคำกลอนล้านนา
“ครับคุณย่า” สุริยวงศ์สบายใจขึ้นมากจึงลากลับ แต่เมื่อมาถึงหน้าบันไดก็พบบ่าวคนที่โดนผีอีเม้ยเล่นงานนั่งก้มหน้าก้มตาร้องไห้ ยกมือไหว้ปลกๆด้วยความหวาดกลัว
สุริยวงศ์เรียกบ่าวเข้ามาถามไถ่ บ่าวเล่าว่า บัวเงินเลี้ยงผีและจะขอลาออก แต่สุริยวงศ์ไม่ยอมและไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผี พลางเดินลงไปที่รถเพื่อตามหาเรริน
ooooooo

เรื่องย่อรอยใหม ตอน4 ละครช่อง3


สุริยวงศ์หยิบพวงหรีดออกมาจากรถ แล้วตรงไปยังศาลาตั้งศพ เขาชะงักเมื่อเห็นเรรินเดินมึนๆสวนออกมา เขาร้องเรียกแล้วเข้าไปคุยด้วย

เรรินเล่าเรื่องที่เธอพบยายคำเที่ยงให้ฟัง “ฉันคงเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับแกค่ะ ที่ตั้งใจมาหาแกวันนี้ก็เพราะมีอีกหลายเรื่องที่ฉันอยากรู้ อยากให้แกเล่าให้ฟัง”

“เรื่องเจ้านางมณีรินใช่ไหมครับ”

“คุณเคยรู้สึกไหมล่ะคะ เวลาที่เรามีเครื่องหมาย คำถาม และต้องการคำตอบให้ได้”

“ผมเสียใจด้วยถ้าคุณไม่ได้รับคำตอบนั้น”

“แต่ฉันก็ยังไม่หมดหวังหรอกนะคะ” เรรินมุ่งมั่น

สุริยวงศ์ยิ้มชื่นชมแล้วชวนหญิงสาวเข้าไปไหว้พระขอพรที่ในโบสถ์

เรรินเห็นสุริยวงศ์นั่งหลับตาอธิษฐานอยู่นานจึงเอ่ยถามว่า อธิษฐานอะไร ชายหนุ่มสบตาเธอนิ่งก่อนเอ่ย “ผม...เอ่อ ปกติผมก็ไม่เคยขออะไรจากพระท่าน แต่วันนี้ผมขอพรพระท่านให้คนที่ผมรักมีความสุข สมหวังในชีวิตทุกประการ  ผมอยาก ให้คุณมีความสุข...คุณริน ผมขอพรพระให้คุณมีความสุขครับ”

เรรินตะลึงคิดไม่ถึงว่า จะถูกบอกรักโดยมิทันตั้งตัว เธอรีบลุกเดินออกมาเพราะทำตัวไม่ถูก สุริยวงศ์ตามมาขอโทษแต่ยังยืนยันว่า เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร

“แต่เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานนะคะ”

“ผมเข้าใจ แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับคุณริน...ที่จะเชื่อ แต่สิ่งที่ผมพูด มันเป็นความสัตย์จริงครับ”

“ฉันยังรู้จักคุณน้อยเกินไป และคุณเองก็แทบจะไม่รู้จักตัวตนแท้ๆของฉันเลย”

“แต่คุณรินก็ไม่ได้รังเกียจที่เราจะเรียนรู้กันและกันใช่ไหมครับ ผมอยากจะขอโอกาสจากคุณริน...ได้ไหมครับ”

เรรินมองลึกเข้าไปในดวงตาเขาไม่พบอะไรนอกจากความจริงใจเต็มเปี่ยม

“อาจารย์เรริน...แหมดวงเราสองคนนี่สมพงศ์กันจริงๆ เลยนะจ๊ะ ไปไหนก็เจอกัน เหมือนโลกนี้มันแค้บแคบ” สรัญญาเข้ามาทักตามด้วยกลุ่มเพื่อนของเธอ

“พวกเราพาแซนดี้เขามาไหว้พระเก้าวัด เสริมสิริมงคลน่ะค่ะ” เพื่อนคนหนึ่งบอกกับสุริยวงศ์

“ได้ยินใครๆเขาว่า หลวงพ่อวัดนี้ศักดิ์สิทธิ์ม้ากมาก ขออะไรก็สมหวังโดยเฉพาะเรื่องของความรัก...จริงไหมคะคุณสุริยวงศ์” สรัญญาปรายตามองมาทางเรริน

เรรินยิ้มไม่ออกรู้ดีว่ากำลังถูกป่วนจึงขอตัว สุริยวงศ์ อาสาไปส่งแล้วรีบไปเอารถมารับ สรัญญาสบโอกาส

“ใจคอไม่คิดที่จะทักทายกันเลยรึไงจ้ะริน แบบนี้ภาษาไทยโบราณๆเขาเรียกอะไรนะ วัวสันหลังหวะใช่ไหม กลัวแฟนใหม่เธอจะรู้รึไงว่าเรารู้จักกันดี หรือกลัวว่าฉันจะปากโป้งบอกเขาว่าเธอมีคู่หมั้นอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วต๊าย... แหวนหมั้นไปไหนซะแล้วล่ะจ๊ะ ถอดเก็บเอาไว้เพราะกลัวผู้ชายคนใหม่จะเห็นรึไง โถ...น่าสงสารผู้ชายคนนี้จริงๆ”

“อย่าก้าวร้าวไปถึงคุณสุริยวงศ์นะ เขากับฉันเป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรอย่างที่เธอคิด”

“ตายจริงแค่นี้ก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนกันซะแล้ว ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ ภาษาไทยนะ...กินปูนร้อนท้องใช่ไหม คงจะเชื่อยากซักหน่อยนะ แต่ก็แน่แหละเธอมาบอกกับฉันมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกรอแก้ตัวกับแฟนของเธอเองจะดีกว่า” สรัญญาส่งยิ้มกวนๆแล้วเดินเชิดออกไป

เรรินเลือดขึ้นหน้าด้วยความโกรธ

ooooooo

สุริยวงศ์เห็นเรรินนั่งเงียบมาตลอดทางก็นึกห่วง จึงเอ่ยถามว่าเธอไม่สบายใจเพราะเขาหรือเปล่า เรรินบอกว่ามีเรื่องบางอย่างต้องคิด แต่ไม่เกี่ยวกับสุริยวงศ์

“ถ้ายังงั้น...แวะไปดื่มกาแฟที่ร้านผมก่อนนะครับ แล้วผมจะไปส่ง”

“ลำบากคุณเปล่าๆค่ะ”

“อะไรก็ตามที่ทำเพื่อคุณไม่ใช่เรื่องลำบากสำหรับผมเลยครับคุณริน” สุริยวงศ์เอ่ยอย่างจริงใจ

เมื่อมาถึงหน้าร้านทั้งสองก็พบวงพระจันทร์รอเล่นงานอยู่ เธอปราดเข้ามาต่อว่าเรรินชุดใหญ่และตบท้ายด้วยวลีฝรั่งเศสที่แปลได้ว่า เรรินคือโสเภณีชัดๆ

“หยาบคายเกินไปแล้ววงพระจันทร์” สุริยวงศ์กระชากตัววงพระจันทร์ออกมา

“ขอโทษนะคะฉันจะพยายามไม่ถือโกรธคุณเพราะคุณคงเข้าใจอะไรผิดๆ แต่ก่อนที่คุณจะด่าใคร คุณควรใช้สมองอย่างชนชั้นสูงของคุณให้มากกว่านี้   ไม่อย่างนั้นตัวคุณเองน่ะแหละจะเป็นยิ่งกว่าสิ่งที่คุณด่าคนอื่นเขา” เรรินโต้กลับเป็นภาษาฝรั่งเศสคล่องปรื๋อจนวงพระจันทร์ยืนตะลึง “ฉันคงไม่มีอารมณ์ดื่มกาแฟที่นี่แล้วละค่ะ ฉันจะกลับไปเอารถที่คุ้มเจ้าหลวงเอง คุณดูแลคนของคุณไปเถอะค่ะไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ขอบคุณนะคะ” เรรินบอกกับสุริยวงศ์แล้วเดินจากไป

ด้านสรัญญาหลังจากกวนประสาทเรรินแล้วก็โทร.ไปฟ้องธนินทร์ว่า เธอเห็นเรรินทำหวานชื่นอยู่กับสุริยวงศ์ในวัดแถมที่นิ้วนางข้างซ้ายก็ไม่มีแหวนหมั้นของธนินทร์สวมอยู่แล้ว ธนินทร์โกรธจัดเตรียมขึ้นเชียงใหม่ทันที

เวลาเดียวกันนั้น วงพระจันทร์กำลังต่อว่าสุริยวงศ์เรื่อง เรริน ทำให้สุริยวงศ์เหลืออดประกาศว่า เขาบอกรักเรรินไปเรียบร้อย แล้ว และสั่งห้ามวงพระจันทร์มาวุ่นวายกับชีวิตของเขาอีก

วงพระจันทร์ยืนอึ้งพึมพำกับตัวเอง “ฝันไปเถอะ...คิดเหรอว่าคนอย่างฉันจะเลิกราง่ายๆไม่มีทาง”

เพียงครู่เดียว วงพระจันทร์ก็มานั่งตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอยู่ตรงหน้าบัวเงิน

“มันด่าวงพระจันทร์หยาบคายมากด้วยค่ะคุณย่า มันคงไม่รู้ว่าวงพระจันทร์ก็พอจะฟังภาษาฝรั่งเศสออกบ้าง มันด่าวงพระจันทร์ว่า เป็นผู้หญิงชั้นต่ำ ยิ่งกว่าโสเภณีค่ะคุณย่า”

“จะไดมึงปล่อยหื้อมันด่ามึงข้างเดียว บ่ตบปากสั่งสอนมันไป”

“ก็สุริยะน่ะสิคะคุณย่า เข้าข้างมัน วงพระจันทร์งี้ทั้งโกรธ ทั้งตกใจจนตัวชา ทำอะไรไม่ถูกเลย แล้วเขาบอกว่า เขาขอความรักมันแล้วน่ะสิคะคุณย่า คุณย่าคิดดูสิคะ รู้จักมันไม่กี่วันก็กล้าพูดว่ารักมันแล้ว วงพระจันทร์ว่า ถ้าเขาไม่เป็นบ้าไปแล้วก็ต้องโดนมันทำเสน่ห์ยาแฝดใส่เอาแน่ๆ” วงพระจันทร์จีบปากจีบคอ

บัวเงินนั่งเครียดคิดหาตัวช่วย

เวลาเดียวกันนั้น เรรินกลับมาที่คุ้มหลวงเธอหาทางจะเข้าไปด้านในเพื่อทอผ้าต่อ แต่ไหมแมออกมาพบจึงโดนไล่ออกมา แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นตราสัญลักษณ์ราชวงศ์ล้านนาที่หน้าจั่ว ซึ่งเหมือนกับลูกกุญแจโบราณที่ได้มาจากคำเที่ยง เรรินเข้าใจในทันทีว่ากุญแจดอกนั้นมีไว้เพื่ออะไร

“ขอบคุณมาก ยายคำเที่ยง ยายไม่ต้องห่วง ฉันจะทอผ้าผืนนั้นให้เสร็จให้ได้ อย่างที่ยายต้องการ” เรรินรับปากแล้วแอบเข้าไปในพิพิธภัณฑ์และใช้กุญแจดอกนั้นไขเข้าไปในห้องทอผ้า

ส่วนบัวเงินนำเครื่องในวัวสดมาเลี้ยงผีอีเม้ย เพื่อมอบหมายงานชิ้นใหม่ให้ทำ นั่นคือคอยติดตามเรรินและถ้าสบโอกาสก็ให้ฆ่าเสีย เหมือนที่เคยทำกับเจ้านางมณีริน

ผีอีเม้ยพยักหน้ารับคำ แล้วใช้มืออันแสนสกปรกโกยเครื่องในสดเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

ooooooo

เรรินเข้ามาในห้องทอผ้าอันมืดสลัว แสงสว่างที่เหมือนมาจากช่องแสงสูงๆเพียงจุดเดียวสาดลงมาตรงๆที่ตำแหน่งทอผ้าพอดี หญิงสาวคลำหาสวิตช์ไฟทำท่าจะเปิด แต่เปลี่ยนใจเพราะกลัวคนข้างนอกเห็น เธอเดินตรงไปที่กี่ทอผ้า คลี่ผ้าขาวที่คลุมปิดผ้าที่ทอไม่เสร็จผืนนั้นออก พลางเผยยิ้มพอใจเหมือนได้เจอญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ

ขณะที่เรรินลงมือทอผ้าต่อ สรัญญาก็มาหาสุริยวงศ์ที่ร้านและบอกกับเขาว่า เรรินมีคู่หมั้นแล้วและคงจะแต่งงานกันเร็วๆนี้ เพราะหมั้นกันมาข้ามปีแล้ว เมื่อเห็นสุริยวงศ์ยืนตะลึงก็รีบใส่ต่อ

“นี่รินเขาไม่ได้เล่าอะไรให้คุณฟังเลยเหรอคะ แย่จริง รินนี่กี่ปีๆก็ไม่ทิ้งนิสัยเดิม ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้วละค่ะ รินเขาชอบหว่านเสน่ห์ให้ใครต่อใครไปทั่ว ผู้ชายจะฆ่ากันตายก็เพราะรินเขามาหลายครั้งแล้วละค่ะ ที่แซนดี้ต้องมาบอกความจริงให้คุณรู้นี่ แซนดี้ไม่ได้คิดอะไรนะคะ แค่คู่หมั้นของรินเขาแซนดี้ก็รู้จักดี เขาเป็นสุภาพบุรุษ แล้วก็รักรินเขาม้ากมาก แซนดี้ไม่อยากเห็นเขาต้องผิดหวังเสียใจแล้วอีกอย่างนึงแซนดี้ว่าแซนดี้ดูคนไม่ผิด คุณก็เป็นคนดีมากคนหนึ่งแซนดี้ไม่อยากเห็นคุณต้องกลายเป็นคนโง่ ที่ถูกผู้หญิงหน้าซื่อๆคนหนึ่งหลอกเอาให้หัวปั่นเล่นเท่านั้นแหละค่ะ” แล้วสรัญญาผู้แสนดีก็จากไป ทิ้งให้สุริยวงศ์ยืนนิ่งจมอยู่ในความคิด...อื้ออึงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เรรินทอผ้าต่อได้สักพักก็ได้ยินเสียงพิณเปี๊ยะสามตัวโน้ตก็ดังกังวานขึ้น เธอชะงักหันมามองที่ภาพเขียนสีน้ำมันรูปคุ้มเจ้าหลวง แล้วจู่ๆแสงใต้และตะเกียงก็ค่อยๆจุดสว่างขึ้นเอง เรรินแปลกใจคิดว่าตัวเองตาฝาดไปจึงหันกลับมาเพื่อจะทอผ้าต่อ แต่เทียนที่ตั้งเอาไว้หัวเสากี่ทอผ้าจุดตัวเองค่อยๆ สว่างขึ้นพร้อมกับเสียงของเจ้าศิริวัฒนา “ทอผ้ามืดๆสายตาจะเสีย”

เรรินอึ้งเพราะตกใจที่เห็นเจ้าศิริวัฒนายืนยิ้มหม่นหมองอยู่ไม่ไกล เธอรีบเอ่ยถาม

“คุณมาได้ยังไงคะ”

“คุณคงลืมไปแล้วว่าผมเคยอยู่ที่นี่”

“เคยอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณนึกจะเดินเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้นี่คะ”
“ทีคุณยังมาได้อย่ากังวลไปเลยไม่มีใครรู้หรอกว่าคุณมาที่นี่ ผมไม่ให้ใครรู้แน่ว่าคุณเข้ามา” เจ้าศิริวัฒนาให้สัญญา แต่เรรินยังงงไม่หาย เจ้าศิริวัฒนาว่าเขาคงไม่รบกวนเธอแล้ว แค่จะทักทายและขอบคุณที่มาช่วยทอผ้าต่อเท่านั้น
“แล้วฉันกับผ้าผืนนี้มีอะไรเกี่ยวเนื่องกันคุณรู้ใช่ไหมคะ กรุณาเล่าให้ฉันฟังได้ไหม”
“คุณอยากรู้จริงๆหรือเจ้าริน เพราะเรื่องมันน่าเศร้าจนไม่มีใครอยากจดจำ”
“ค่ะ ฉันอยากรู้ช่วยเล่าให้ฉันฟังเถอะค่ะ ฉันอยากรู้จริงๆว่าเจ้านางมณีรินท่านเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นกับท่าน...”
“งั้นก็...หลับตาลงสิ...เจ้าริน หลับเสีย มณีริน แล้วเราจะพาเจ้าไปดู” เจ้าศิริวัฒนากระซิบข้างหู
เรรินฝืนลืมตาไว้ไม่ไหว มือที่ถือกระสวยไว้อ่อนแรงลง กระสวยร่วงหลุดจากมือ เส้นไหมที่กรองเอาไว้เต็มกระสวย ร่วงเคว้งคว้างกลางอากาศ แล้วหล่นกระทบพื้น กระเด้งกระดอนหลายตลบ
ooooooo
บรรยากาศยามเช้าในพลับพลาค้างแรมกลางป่า มณีรินค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น เสียงช้างร้องแปร๋นๆแจ่มใสทำให้เธอตกใจลุกพรวดขึ้นนั่งทันที
“ตื่นแล้วก่อเจ้า” คำเที่ยงเข้ามาปรนนิบัติ
“อะหยัง...ตี้นี่ตี้ไหนกั๋น”
“เฮาอยู่ในเขตม่าน (พม่า) ก่อนข้าวแลงวันนี้ เฮาคงจะได้ข้ามน้ำสายไปฝั่งไทยแล้วเจ้า เจ้ารินตื่นก็ดีแล้วเจ้า จะได้แต่งตัวกิ๋นข้าว แล้วจะได้เดินทางกันต่อ เมื่อคืนคำเที่ยงเมื่อยขบไปทั้งตั๋ว จ๊างมันทำเอาตัวสั่นหัวคลอน”
“คำเที่ยง นี่เจ้าคือคำเที่ยงแต๊ๆก๊า” มณีรินจ้องคำเที่ยงนิ่ง
“เอาอีกแล้วนะเจ้าริน เล่นตลกอะหยังก็บ่ฮู้ คำเที่ยงบ่ม่วนด้วยดอกเจ้า ล้างหน้าล้างตาเต๊อะเจ้าจะได้แต่งตั๋ว”คำเที่ยงดุแล้วจะหันไปรับอ่างและเหยือกจากบ่าวให้มณีรินล้างหน้า แต่มณีรินลุกขึ้นจากที่นอน แล้วพรวดพราดแหวกม่านทึบออกไป
“เจ้าริน ออกไปบ่ได้เน้อ...ปิ๊กข้างในเต๊อะเจ้า” คำเที่ยง ตามมาดึงตัวไว้
มณีรินมองออกไปข้างนอกเห็นทหารยืนรักษาความปลอดภัย และเตรียมเทียบกูบที่ประทับขึ้นหลังช้างเตรียมตัวเดินทางจึงเอ่ยถามคำเที่ยงว่า เรากำลังจะไปที่ไหนกัน
“นครเชียงใหม่เจ้า เจ้ารินจะไปนครเชียงใหม่เพื่ออภิเษกกับเจ้าราชบุตรเปิ้นเน้อ” คำเที่ยงเฉลย
มณีรินยืนอึ้งเหมือนเพิ่งได้ยินสิ่งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต คำเที่ยงพาเจ้านางกลับเข้าข้างในเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง มณีรินแอบบ่นว่า เธอไม่อยากแต่งงานเพราะไม่ได้รักเจ้าศิริวัฒนา
“อยู่กันไปก็ฮักกันไปเองละเจ้า” คำเที่ยงแนะนำ
“เฮาบ่เชื่อ บ่ฮักตะแรก อยู่ไปเมินแค่ไหน ก็บ่มีทางฮักขึ้นมาได้ดอก”
“เจ้ารินบ่ฮัก ก็กึ้ดเสียว่าทำเพื่อแผ่นดิน ล้านนา เชียงตุง บ่ใช่อื่นไกล ฝรั่งตะวันตกได้ครองเชียงตุงนัก เจ้ารินกำลังได้ช่วยแผ่นดินแม่ของเฮาเน้อ เชียงตุงกับล้านนาต้องสานสัมพันธ์ กันไว้หื้อมั่น” คำเที่ยงอ้างต่อ
ขบวนช้างตกแต่งสมเกียรติยศ เจ้านายเชียงตุงกำลังลุยข้ามลำธารน้ำใส มณีรินอยู่ในสัปคับเดียวกับคำเที่ยง เธอส่งเสียงอ้อนคำเที่ยงขอค้างแรมในป่าอีกคืนก่อนเข้านครเชียงใหม่
“บ่ได้ จะยะจะอั้นได้จะได ป่านนี้ทางคุ้มเจ้าหลวงเชียงใหม่เปิ้นจัดเตรียมพิธีต้อนฮับเอาไว้แล้ว”
มณีรินเซ็งจัด แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้อ้อนให้คำเที่ยงเข้าพิธีอภิเษกแทน
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ กึ๊ดอะหยังน้อเจ้าริน เจ้าศิริวัฒนา เปิ้นคงเชื่อดอกว่าข้าคือเจ้านางมณีริน”
“บ่มีผู้ใดเคยหันเฮาสักเตื้อ ผู้ใด ผู้ใดจะฮู้ว่ามณีรินมีหน้าตาจะได เดี๋ยวเฮาเปลี่ยนชุดกันเลย พี่คำเที่ยงแต่งตัวเป็นเฮา เฮาแต่งเป็นพี่คำเที่ยง เฮาบ่เอิ้น พี่คำเที่ยงบ่เอิ้นก็บ่มีผู้ใดฮู้ดอก”
“ป๊าด กึ๊ดได้จะไดน้อ เจ้าริน...หน้าตาเจ้านางมณีรินจะบ่งามจะไดก็คงบ่แก่ทึนทึกอย่างข้าเจ้าดอก” คำเที่ยงบ่นเป็นชุด มณีรินหัวเราะออกมาทั้งที่เครียดๆอยู่
ไม่นานนักขบวนก็มาถึงวัดพระธาตุลำปางหลวง เหล่าข้าราชบริพาร เดินนำมณีรินขึ้นบันไดวัดมา นางกำนัลแต่ละคนประคองโตกดอกไม้ เครื่องสักการะพระธาตุ สีสันตระการตา บรรยากาศดูขลังอลังการ เจ้าหลวงและพระชายารอต้อนรับมณีรินอยู่ด้านใน
ขบวนช่างฟ้อนล้านนานับร้อยชีวิต ฟ้อนต้อนรับเต็มรูปแบบ โปรยดอกไม้และถอยเปิดทางออก มณีรินประคองเครื่องบรรณาการของขวัญจากเชียงตุงนำขบวนข้าราชบริพารฝ่ายเชียงตุงเข้ามาจนถึงหน้าองค์เจ้าหลวง เธอทรุดตัวลงกราบที่พื้นแสดงคารวะสูงสุดต่อเจ้าหลวงและพระชายา
“ข้าเจ้า มณีรินแห่งนครเชียงตุง ในนามของเจ้าจอมเพชร เจ้าหลวงแห่งนครเชียงตุง และเจ้านางสุคันธา พระชายาในองค์เจ้าหลวง ขอถวายของขวัญแด่เจ้าหลวงแห่งนครเชียงใหม่และชายาเจ้า” มณีรินถวายดอกไม้ และรับโตกของขวัญจากคำเที่ยงที่ส่งต่อเข้ามา
เจ้าหลวงยิ้มพอใจ ขณะที่พระชายาขยับเข้ามาประคองมณีรินขึ้นมา
“ตามสบายเต๊อะมณีริน บ่ต้องเป็นงานเป็นการนักดอก เจ้าพ่อเจ้าแม่ของหลานเป็นจะไดพ่อง ซำบายดีบ่”
“เจ้า เจ้าพ่อเจ้าแม่เปิ้นฝากความระลึกถึงมานักๆ”
“การเดินทางเป็นจะไดพ่อง คงจะลำบากเจ้าขนาด”
“ขบวนจ๊างจากนครเชียงใหม่ไปฮับข้าเจ้าถึงชายแดนเมืองม่าน ข้าเจ้าสำนึกในพระกรุณาเจ้าหลวงแลพระชายานักๆเจ้า”
“เรียกแม่ดีกว่าเน้อ เจ้าจากบ้านจากเมืองมา แม่บ่อยากหื้อเจ้ารู้สึกว่าห่างไกล เชียงใหม่เชียงตุงก็พี่น้องกันแต๊ๆ แม่เองก็ฮักเจ้าเป็นลูกแต๊ๆของแม่คนหนึ่ง” พระชายาเอ่ยอย่างเป็นกันเอง
“เป็นพระกรุณานักๆเจ้า...” มณีรินซาบซึ้ง
“อ้าว จะไดไปหลบอยู่ข้างหลังนั่น ออกมาหื้อเจ้าน้องเปิ้นรู้จักหน้าค่าตาสะกำ ศิริวัฒนา” เจ้าหลวงหันไปเรียกใครคนหนึ่งที่หลบอยู่ด้านหลังพระชายาพลางแนะนำ“นี่เจ้าอ้ายศิริวัฒนาของเจ้าเน้อมณีริน ฮู้จักกันไว้เสียบ่เคยได้ปะหน้ากันเลยนี่”
มณีรินยกมือขึ้นไหว้แล้วค่อยๆ มองไล่ขึ้นไปจนเห็นหน้าเขาชัดเจน เธอถึงกับอึ้งเพราะเขาคือคนเดียวกับที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับให้เรรินเห็นมาหลายครั้งแล้วนั่นเอง
ooooooo
เรรินสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้น งงงัน สิ่งที่ได้ไปพบเจอมา เธอลุกขึ้นจากที่นั่งบนกี่มองหาศิริวัฒนา แต่เขาไม่อยู่แล้ว เรรินขนลุกซู่ซ่า เพราะตระหนักแน่ว่าเขาไม่ใช่คนจึงหันกลับไปมอง ที่ภาพเขียนสีน้ำมัน ทุกอย่างสงบนิ่งไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
“คุณคะ...ออกมาเถอะค่ะ ฉันมีเรื่องอยากถามอีกมากมาย...คุณคะ...คุณอยู่ที่ไหน” เรรินเรียกแต่ไม่มีสัญญาณใดๆตอบรับ เทียนหดสั้น น้ำตาเทียนนองย้อยและสุดท้ายไส้ก็ค่อยๆจมลงในแอ่งน้ำตาเทียน ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด
เรรินตัดใจออกมาจากห้องทอผ้า เธอคล้องกุญแจกลับเข้าที่เดิม แล้วเดินออกไปหาช่องทางออก แต่ทุกทางเข้าออกมียามเฝ้าอยู่ เธอจึงเสี่ยงดวงปีนกำแพงออกไปผีอีเม้ยที่รออยู่รีบยื่นมือดำๆเขียวๆของมันมาจับข้อมือเรรินไว้หมายเอาชีวิต เรรินเห็นผีอีเม้ยเต็มตาก็แทบหัวใจหยุดเต้น
“มึงต้องไป กู...กูจะเอามึงไป....” ผีอีเม้ยบีบข้อมือเรรินแน่นจนควันกรุ่นออกมา
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...” เรรินกรีดร้อง
ผีอีเม้ยหัวเราะกรีดเสียงแหลม และยื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้า เรรินช็อกจนจะหมดสติอยู่แล้ว แสงสว่างจากไฟหน้ารถยนต์สาดเข้ามาพอดี ผีอีเม้ยหมุนคอหันไปมองเห็นรถสุริยวงศ์แล่นเข้ามาก็ส่งเสียงคำรามด้วยความแค้นก่อนจะสลายตัวไป
“คุณริน” สุริยวงศ์รีบลงมาดูเรรินแต่ไม่เห็นผีอีเม้ยเหมือนกับที่เรรินเห็น
เรรินโผเข้ากอดสุริยวงศ์แน่นด้วยความหวาดกลัว สุริยวงศ์พาเรรินเข้าไปนั่งในรถพลางสอบถามเรื่องราว เรรินสะอื้นขวัญกระเจิงบอกว่าเธอเจอผี
“ฉันเห็นจริงๆ ผีแน่ๆ ค่ะ มันจับแขนฉันเอาไว้ มันบอกจะเอาตัวฉันไปด้วย มือมันยังกะไฟ” เรรินยกข้อมือตัวเองขึ้นมาดู
สุริยวงศ์อึ้งขนหัวลุกเหมือนกัน เพราะข้อมือเรรินตรงที่ถูกผีอีเม้ยจับปรากฏเป็นรอยดำเหมือนไฟไหม้
“ใจเย็นๆนะครับ คุณรินไม่ต้องกลัว ผมจะพาคุณรินไปจากที่นี่” สุริยวงศ์ปิดประตูรถ แล้วรีบอ้อมไปขึ้นด้านคนขับ รถแล่นออกไป
ผีอีเม้ยที่ห้อยโตงเตงอยู่บนต้นไม้ใหญ่เจ็บใจยิ่งนัก มันรีบกลับไปฟ้องบัวเงินว่า สุริยวงศ์มาขัดขวางมันจึงทำงานไม่สำเร็จ
“สุริยวงศ์” บัวเงินเค้นชื่อชายหนุ่มออกมาอย่างเจ็บปวด ก่อนหันไปพูดกับภาพของเจ้าศิริวัฒนาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อีมณีรินมันยังกลับมาเลย แล้วเจ้าอ้ายล่ะ จะไดบ่กลับมาหื้อข้าเจ้าหันสักเตื้อ...ความฮักที่ข้าเจ้ามีต่อเจ้าอ้าย มันบ่เพียงพอที่จะผูกรัดเจ้าอ้ายไว้ จะอั้นก๊า”
แล้วภาพในอดีตเมื่อเจ็ดปีก่อนก็ผุดพรายขึ้นมา บัวเงินเดินตรวจตราดูตัวซิ่นที่บริวารกำลังทออยู่ใต้ถุนเรือน อีเม้ยที่ไปสาระแนแอบดูงานพิธีต้อนรับมณีรินกลับมารายงาน
“งานพิธีต้อนฮับก็จะอั้น...ละเจ้า เจ้าหลวงเปิ้นจัดพอเป็นพิธี เม้ยบ่หันว่าจะยิ่งใหญ่จะได ก็อย่างว่าละนะเจ้า มันก็แค่เจ้านางเมืองขึนพิธีต้อนฮับขนาดนี้ ก็นับว่าบะล่ำบเหรอแล้ว”
“แล้วหน้าตามันเป็นจะได”
“โอ้ย...เม้ยบ่อยากจะเอิ้นเกิดมาแต่ท้องแม่เม้ยบ่เคยหันแม่ญิงใดจะขี้ริ้วเท่าอีนังแม่ญิงผู้นี้เลยเจ้า ผอมคือไม้เสียบผี บ่มีน้ำมีนวล ดำก็ดำ กิริยาก็ม้าดีดกะโหลก ทำดีอะหยังบ่ได้เลยหม่อมเจ้าขา”
“มึงว่าจะอั้นกูก็ค่อยสบายใจขึ้นมาน่อย ถ้าอีนัง เจ้านางเมืองขึนมันอัปลักษณ์อัปรีย์ อย่างมึงว่า เจ้าอ้ายศิริวัฒนาของกู ก็คงบ่มีวันชายตามองมันให้เสียลูกตาดอก มึงกึ๊ดจะอั้นก่ออีเม้ย”
“เจ้า แค่หันมันบ่เต็มตา เจ้าเปิ้นก็อาจจะฝันฮ้าย เหมือนผีหลอกผีหลอนไปทั้งคืนละเจ้า” อีเม้ยประจบแล้วสองนายบ่าวก็กลั้วหัวเราะผสมโรงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แล้วชักชวนกันนำของว่างไปถวายเจ้าศิริวัฒนาในห้องทำงาน
“เจ้าอ้าย เจ้า” บัวเงินส่งเสียงออดอ้อนเรียกเจ้าศิริวัฒนาที่นั่งเหม่อคิดถึงมณีริน
เจ้าศิริวัฒนาสะดุ้งหันมาทักบัวเงิน พลางแก้ตัวว่า กำลังคิดเรื่องงานอยู่ บัวเงินรับของว่างจากอีเม้ยมานำเสนอว่า เธอเพิ่งหัดทำขนมฝรั่งเป็นครั้งแรกจึงอยากให้ลองชิม พลางชวนคุยเรื่องเจ้านางมณีรินต่อทันที
“เมื่อวาน งานพิธีต้อนฮับน้องก็บ่ได้ไปร่วม เปิ้นอุตส่าห์รอนแรมมาไกล พลัดบ้านพลัดเมืองมา กว่าจะปรับโตกินอยู่อย่างคนเจียงใหม่ เปิ้นคงจะลำบากบ่ใช่น้อย ถ้าน้องจ่วยอะหยังได้น้องก็เต็มใจ๋ จะได้แบ่งเบาภาระเจ้าอ้ายเจ้า” บัวเงินส่งยิ้มแบบนางเอกสุดๆ
“ยินดีนัก เจ้ามีน้ำใจ๋แต๊ๆบัวเงิน” เจ้าศิริวัฒนาชมแล้วถือโอกาสพาบัวเงินไปรู้จักกับมณีริน อีเม้ยตามติดเจ้านาย
ครั้นทั้งสามมาถึงหน้าเรือนก็เห็นคำเที่ยงกับเหล่าบริวารกำลังขย่มกิ่งผลไม้ให้ร่วงลงมาที่พื้น แต่รังมดลงตามมาด้วย วงแตกฮือ
“ตายแล้ว ตายๆๆ” คำเที่ยงกระโดดปัดมดเป็นระวิง เพราะมันเข้าไปในผ้าซิ่น
เจ้าศิริวัฒนายิ้มขำๆ ขณะที่บัวเงินเข้าใจผิดคิดว่า คำเที่ยง คือมณีรินจึงหันไปเปรย
“อีเม้ย แต๊ดังคำมึงว่า นังนี่มันน่าสมเพชนักขนาด กิริยาไพร่แต๊ๆ ถ้ากูเดาบ่ผิด กูว่ามันเกิดปีวอก”
“เม้ยก็ว่าจะอั้นเจ้าค่ะหม่อม บ่ใช่วอกเฉยๆโตย แต้เป็นวอกดำ” อีเม้ยหัวเราะร่วน
“คำเที่ยง” เจ้าศิริวัฒนาเรียก
คำเที่ยงที่กำลังปัดมดอลหม่าน เมื่อหันมาเห็นเจ้าศิริวัฒนาก็รีบคุกเข่าลงหมอบกราบ บริวารต่างลงกราบกันถ้วนหน้า เจ้าศิริวัฒนาถามหามณีริน คำเที่ยงว่าอ่านหนังสืออยู่บนเรือน บัวเงินชะงักรู้ว่าต้องมีความผิดพลาดบางอย่างแน่ แล้วมณีรินก็เดินออกมาพอดี
เจ้าศิริวัฒนาชะงักส่งยิ้มหวาน มณีรินทรุดตัวลงกับพื้นกราบเจ้าศิริวัฒนา
“คำเที่ยงบอกว่า เจ้านางน้อยอ่านหนังสืออยู่ หนังสืออะหยัง”
“ตำราฮีสทรียุโรปเจ้า”
“จะไดเจ้านางน้อยถึงสนใจประวัติศาสตร์ยุโรป”
“ข้าเจ้าอยากฮู้ว่าจะไดประเทศที่ฮ้องตัวเองว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้วถึงต้องล่าบ้านเล็กเมืองน้อยเป็นเมืองขึ้น อาณานิคมของเปิ้นเจ้า แล้วจะไดจึงมากำหนดว่าเฮาเป็นประเทศด้อยพัฒนา ความเจริญ วัดกันด้วยสิ่งใด ข้าเจ้าใคร่ฮู้” มณีรินตอบอย่างฉะฉาน
ศิริวัฒนายิ้มชื่นชมในสติปัญญาของเธอแล้วเข้ามาประคองให้ลุกขึ้น บัวเงินจ้องมองตาขุ่น แต่จำต้องปั้นยิ้ม เมื่อเจ้าศิริวัฒนาพามณีรินมาแนะนำ คำเที่ยงรีบกระถดเข้ามาคุกเข่าข้างมณีริน หน้าตายิ้มแย้มรับแขก
“นี่นังคำเที่ยง พี่เลี้ยงเจ้านางน้อยเปิ้น ติดตามกันมาแต่เชียงตุง ส่วนนั่นนังเม้ย ฮู้จักกันไว้เสีย วันข้างหน้า มีธุระปะปังอันใดจะได้เรียกหากันถูก ไปเข้าไปคุยกันบนเฮือน เต๊อะ” เจ้าศิริวัฒนานำมณีรินกับบัวเงินขึ้นเรือน
“สวัสดีเจ้า พี่เม้ย” คำเที่ยงทัก
“ผู้ใด เป็นพี่มึง อีวอก” อีเม้ยด่าใส่แล้วรีบตามผู้เป็นนายไป ทิ้งให้คำเที่ยงชะงักเพราะตั้งรับไม่ทัน
ขณะที่บนเรือน เจ้าศิริวัฒนากำลังคุยเรื่องบัวเงินให้มณีรินฟัง “บัวเงิน เปิ้นเป็นญาติห่างๆของเจ้าแม่เปิ้น ต้นตระกูลเปิ้นกินเมืองแป้ เจ้าแม่เปิ้นฮับโตบัวเงินมาอยู่ในคุ้มนี่ได้เมินหลายปีแล้ว บัวเงินเปิ้นดูแลผ้าผ่อนของพี่ ของเจ้าหลวง เจ้าแม่ทั้งหมด เปิ้นทอผ้าเก่งขนาด ในคุ้มนี้บ่ต้องจ้างบ่ต้องไหว้วานหื้อนอกคุ้มทอหื้อเลย”
บัวเงินยิ้มภูมิใจในตัวเองได้ไม่เต็มที่ เพราะกำลังจับตามองมณีรินไม่วางตา
“ข้าเจ้าตำหูกพอเป็นเล็กน้อย วันหน้าวันหลัง คงต้องรบกวนพี่บัวเงินสอนวิชา ตำหูกล้านนาหื้อ”
“ยินดีนัก เจ้านางน้อยใคร่จะเฮียนวันใดก็ตามแต่สะดวกเน้อ” บัวเงินยิ้มรับ
“ตกลง ผู้ใดเป็นพี่ ผู้ใดเป็นน้อง บัวเงิน น้องเกิดปีมะโรงใช่ก๊า ถ้าพี่จำบ่ผิด” เจ้าศิริวัฒนาไม่แน่ใจนัก
“เจ้า...ปีมะโรง...งูใหญ่เจ้า” บัวเงินตอบรับ
“เจ้านางน้อย เกิดปีมะเมีย จะอั้นเจ้านางน้อยก็อ่อนกว่าน้องสองปีเชียวนะบัวเงิน” ศิริวัฒนาลองนับปี บัวเงินปั้นยิ้มนึกเคืองที่เจ้าศิริวัฒนาจำปีเกิดเธอไม่ได้ แต่กลับจำปีเกิดมณีรินได้ขึ้นใจ
เมื่อกลับมาถึงเรือน บัวเงินก็เล่นงานอีเม้ยทันทีโทษฐานขี้จุ๊เรื่องมณีริน อีเม้ยเสียงอ่อยสารภาพว่ามันดูผิดไปนึกว่า บ่าวที่ชื่อคำเที่ยงคือมณีริน
“แต่มันก็บ่ได้งามหยาดฟ้ามาดินจักเท่าใดนะเจ้าหม่อม หม่อมของเม้ยงามกว่านัก งามสง่ากว่าผู้ใดในเจียงใหม่ ไล่ไปถึงลำพูนลำปางปุ๊น”
“หุบปากของมึง อีเม้ย มึงบ่หันสายตาที่เจ้าอ้ายของกูเปิ้นมองมันก๊า...วินาทีแรกที่กูหันหน้ามันกูก็ฮู้แล้วว่าอีมณีริน มันเกิดมาเพื่อเป็นมารชีวิตกู”
บัวเงินหน้าเครียดไม่ต่างปัจจุบัน เพราะคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับมณีรินอีก “ถ้ามึงกึ๊ดว่า มึงปิ๊กมาเพื่อจะสมหวังในชาตินี้ มึงก็ฝันไปเต๊อะอีมณีริน กูจะขอจองล้างจองผลาญมึงให้วอดวาย ยิ่งกว่าชาติที่แล้วของมึงอีก” บัวเงินในวัยเก้าสิบสีหน้านิ่งเย็น ลึกล้ำจนน่ากลัว
ooooooo

สุริยวงศ์พาเรรินมาที่บ้านของเขาเพื่อทำแผลที่ข้อมือ พลางสอบถามว่าเธอไปทำอะไรที่คุ้มหลวง แต่เรรินไม่ยอมบอกความจริง ทำให้สุริยวงศ์โกรธเผลอตำหนิ เรรินที่กำลังขวัญเสียร้องไห้โฮ

สุริยวงศ์เห็นน้ำตาก็ตกใจรีบดึงเรรินเข้ามากอดปลอบ “ผมขอโทษ คุณริน ผมขอโทษ ผมแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้นเอง ผมโทร.ไปถามพี่วันตั้งแต่หัวค่ำ พี่วันบอกว่าคุณยังไม่กลับไปเลย ผมขับรถตามหาคุณจนทั่วเมือง ไปทุกที่ที่คิดว่าคุณจะไปจนผมอ่อนใจหมดหวังไปแล้ว คุณรินผมเป็นห่วงคุณจริงๆ ผมกลัวไปสารพัด  กลัวว่าเกิดเรื่องร้ายๆจะเกิดขึ้นกับคุณ ผมขอโทษที่เสียงดังใส่คุณ ผมขอโทษ”

เรรินยังสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของสุริยวงศ์ แต่เธอก็ได้รับความรู้สึกดีๆและอบอุ่นจากเขาไม่น้อย

เมื่อเรรินหายตกใจแล้วสุริยวงศ์ก็พาเธอมาส่งที่รีสอร์ต พลางบอกเล่าที่มาของบาดแผลบนข้อมือเรรินให้วันดาราฟัง
วันดารามองรอยแผลอย่างพินิจพิเคราะห์เหมือนเจอสิ่งเหลือเชื่อเหนือธรรมชาติ แต่เรรินยืนยันหนักแน่นว่า เธอถูกผีหลอกจริงๆ วันดาราหันมาสบตากับสุริยวงศ์

“พี่วันก็ไม่เชื่อรินเหมือนกันใช่ไหมคะ”

“เอ่อ พี่ว่า คุณรินไปพักผ่อนก่อนเต๊อะเจ้า แล้วพี่จะพาไปกราบตุ๊เจ้าจันทะริน ทำบุญเสียจะได้เป็นสิริมงคล เรื่องร้ายๆจะได้กลายเป็นดี” วันดาราหาทางออก

เรรินถอนใจเดินกลับห้อง เธอนึกถึงแม่ขึ้นมาจึงรีบโทร.หา แต่กลับถูกพรรณวรินทร์ต่อว่าเรื่องแอบคบหาชายอื่นที่เชียงใหม่ เรรินอึ้งไปนิดแล้วเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ จึงรีบยืนยันว่า เธอกับสุริยวงศ์ไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่แม่และใครคิด

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับกรุงเทพฯมาได้แล้ว อย่าให้อะไรๆ มันเลวร้ายลงไปกว่านี้เลย” พรรณวรินทร์ขอร้อง

“รินยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะแม่ รินมีธุระที่สำคัญ ที่จะต้องทำให้เสร็จก่อน คิดว่าคงไม่นานหรอก เสร็จธุระแล้วรินจะกลับไปเอง แม่ไม่ต้องห่วงรินปัญหาของรินกับธนินทร์ รินคิดว่า รินมีทางออกแล้ว เท่านี้ก่อนนะคะแม่ สวัสดีค่ะ” เรรินกดปิดพร้อมกับถอนใจอีกเฮือกเพราะทุกอย่างประดังประเดเข้ามาจนตั้งตัวไม่ทัน

เวลาเดียวกันนั้น สุริยวงศ์ก็ยังคงนั่งปรับทุกข์อยู่กับวันดารา เพราะไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เรรินบอกจะเป็นเรื่องจริง และยังข้องใจไม่หายว่า เธอไปคุ้มหลวงทำไม

“อะหยังก็จ้างเต๊อะ พี่กึ๊ดว่าคุณรินเปิ้นบ่ได้กึ๊ดจะยะ

อะหยัง ที่เป็นเรื่องบ่ดีบ่งามก็แล้วกั๋น” วันดารามั่นใจ

“พี่วันครับ พี่วันว่าผมทำผิดก่อ ผมบอกฮักคุณรินเปิ้นไปแล้ว มันอาจจะเร็วเกินไป คุณรินเปิ้นอาจจะบ่ได้กึ๊ด หรือฮู้สึกอะหยังกับผมเลยก็ได้” สุริยวงศ์หนักใจ

“โตถึงมานั่งถอนใจ๋อยู่จะอี้ สุริยะเจื้อปี้เต๊อะ ความฮักอะ บ่มีอะหยังผิดดอก เพราะความฮักบ่ทำร้ายผู้ใด๋ ถ้าจิตใจ๋ โตร้อนรน หม่นหมอง มันบ่ใจ่ความฮักเน้อสุริยะ”

“ผมบ่สบายใจ เพราะผมฮู้บางอย่างเกี่ยวกับคุณรินมาครับพี่วัน เปิ้นมีคู่หมั้นของเปิ้นอยู่แล้วครับ ผมควรจะยะจะใดดีพี่วัน ควรจะถามคุณรินเปิ้นตรงๆหรือว่าควรจะถอยออกมาเลิกยุ่งเกี่ยวผูกพันกับเปิ้นดี”

“ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุมีผลของมันเสมอสุริยะ คุณรินเปิ้นก็ต้องมีเหตุผลของเปิ้นเหมือนกัน เปิ้นถึงบ่อู้เรื่องนี้ ถ้าเปิ้นรังเกียจโต บ่อยากฮื้อโตเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตเปิ้น เปิ้นก็คงบอกโตตามตรงไปแล้วว่าเปิ้นมีคนฮักอยู่แล้ว”

“หรือผมบ่ควรเชื่อคำพูดของคนอื่น”

“ก็ใช่...เปิ้นต้องการอะหยังถึงมาพูดจะอั้น ความฮักเป็นเรื่องของคนสองคนที่จะต้องเรียนรู้กันไปเน้อสุริยะ ความฮักที่แต้ คือความหวังดี อยากหื้อคนที่เฮาฮักมีความสุข บ่ใช่ต้องการหื้อตัวเองสมหวังอยู่คนเดียว ในเมื่อฮักเปิ้นไปแล้วก็ฮักไปเต๊อะ บ่ต้องกั๊วดอก ความผิดหวัง” วันดาราให้กำลังใจ

สุริยวงศ์ได้คิดยอมตัดความกังวลทั้งหมดออกไป และตั้งมั่นกับความรักที่มีต่อเรรินหญิงที่รอคอย

ในค่ำคืนเดียวกันนั่น ธนินทร์ก็มาถึงเชียงใหม่ เขาไปพบสรัญญาในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งเพื่อถามเรื่องเรรินกับชายคนใหม่เพื่อความแน่ใจ ก่อนลงมือทำอะไรบางอย่าง

ooooooo

เช้าวันใหม่ สุริยวงศ์มารับวันดารากับเรรินออกไปทำบุญที่วัด ตุ๊เจ้าจันทะรินที่ขัดสมาธิอยู่ในกรรมฐานค่อยๆลืมตาขึ้นพลางเอ่ยเตือนเรริน

“ค่ำมืดดึกดื่นอย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียว มีคนคิดมุ่งร้ายโยมอยู่”

“เป็นไปได้ยังไงคะ ดิฉันไม่เคยมีศัตรูที่ไหน” เรรินแปลกใจ

ตุ๊เจ้าจันทะรินไม่ตอบแต่เอื้อมไปหยิบพระเครื่ององค์เล็กๆมาหย่อนลงใส่มือเรริน “เก็บรักษาเอาไว้กับโตหื้อดีๆ อำนาจพุทธคุณจะช่วยปกปักรักษา ที่หนักหนาจะผ่อนเป็นเบาได้บ้าง”

“แล้วเคราะห์จะหมดไปก่อเจ้า ตุ๊เจ้า” วันดารานึกห่วง

“กรรม...มันเป็นเรื่องของกรรม อย่างใดก็หนีบ่พ้น ทุกอย่างเป็นไปตามกระแสแห่งกรรม ที่ผูกพันทุกผู้ทุกคนเอาไว้ด้วยกัน บ่มีอะหยังจะแก้ไขได้ นอกจากครองสติหื้อมั่งคง ผู้ใดจะคิดร้ายอย่างได ก็จงหื้ออภัย จัดไดบ่ต้องเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันไปอีก จำไว้เน้อโยม อภัยทานเป็นทานอันใหญ่บ่แพ้การทำทานอะหยังเลย”

เรรินประนมมือขึ้นสูง รับพรและคำสอน

ผีอีเม้ยที่ติดตามเห็นว่าหมดโอกาสจะจัดการกับเรรินแล้ว เพราะอยู่ในวัดจึงกลับไปหาผู้เป็นนาย บัวเงินแค้นใจบ่นว่า อีเม้ยน่าจะหักคอเรรินให้ตายไปตั้งแต่เมื่อวาน เป็นจังหวะเดียวกับที่บ่าวคนหนึ่งเปิดประตูห้องเข้ามาพอดี นางเห็นบัวเงิน พูดอยู่คนเดียวก็นึกกลัวรีบถามเรื่องอาหารเช้าว่าจะให้ยกเข้ามาในนี้เลยหรือเปล่า

“กูบ่หิว” บัวเงินตวาด

“แต่บ่าวหิวนะเจ้าหม่อมเจ้าขา” ผีอีเม้ยค้าน

“มึงทำงานหื้อกูบ่สำเร็จมึงบ่ต้องกิน กูบ่หื้อมึงกิน” บัวเงินตอกกลับ

บ่าวที่ไม่เห็นผีอีเม้ยงง ขยับเลี่ยงไปแทบจะเหยียบผีอีเม้ยเพื่อไปเปิดหน้าต่าง ผีอีเม้ยขุ่นใจจึงแกล้งปรากฏกายให้เห็น บ่าวช็อกหงายหลังผึงหมดสติไป

เวลาเดียวกันนั้นสุริยวงศ์ก็พาเรรินมาเลือกซื้อสร้อย เพื่อห้อยพระที่ตุ๊เจ้าจันทะรินให้มา  เขาขอจ่ายเงินเองโดยอ้างว่า อยากให้เธอเป็นที่ระลึกแล้วจะไม่รบกวนอะไรเธออีก เรรินจำยอม

“คุณรินจะไปไหนต่อครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” สุริยวงศ์อาสา

“ฉันขอไปเองค่ะ เมื่อกี้คุณพูดเองนะคะว่าจ่ายค่าสร้อยให้ฉันแล้วคุณจะไม่รบกวนอะไรฉันอีก” เรรินทวงสัญญา

“ถ้าคุณรินคิดว่าสิ่งดีๆที่ผมอยากทำให้คุณรินเป็นเรื่องรบกวนให้คุณรินรำคาญ ผมก็เสียใจครับ” สุริยวงศ์น้อยใจ
เรรินมองสุริยวงศ์นิ่งพลางเอ่ย “คุณจำได้ไหมคะคุณสุริยวงศ์ ฉันเคยบอกคุณว่า คุณยังรู้จักตัวตนของฉันน้อยเกินไป ฉันไม่อยากให้คุณรู้สึกอะไรต่อฉันมากไปกว่านี้เพราะไม่อย่างนั้นฉันจะเหมือนเป็นคนโกหกหลอกลวงคุณ ฉัน
ไม่มีอิสระพอที่จะเปิดใจรับรักใครในตอนนี้ได้หรอกค่ะ  คุณสุริยวงศ์ ฉันมีคู่หมั้นอยู่แล้ว อย่างเก่งเราก็เป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้น”

“คุณริน...ผมรู้เรื่องที่คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้วตั้งแต่

เมื่อวาน ผมถามตัวเองมาทั้งวันทั้งคืนว่าควรจะทำยังไงดี 

ถึงตอนนี้ ผมแน่ใจว่า ผมได้คำตอบสำหรับตัวผมเองแล้ว ใครจะว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ช่าง...ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนรักคุณรินข้างเดียว ผมก็ยินดีครับ ไม่ว่ามันจะต้องเจ็บปวดยังไง ถึงผมจะไม่ได้รับความรักตอบจากคุณรินเลยผมก็ยอมครับ”  สุริยวงศ์รุกกลับ

ทั้งคู่จมอยู่ในความเงียบนิ่งและนาน จนกระทั่งพนักงานเดินผ่านมา เรรินเรียกให้เก็บเงินแล้วลุกเดินจากไปด้วยความลำบากใจยิ่งนัก เพราะถ้าไม่มีห่วงผูกคออยู่ เธอคงจะรับรักเขาได้มากกว่านี้ ขณะที่สุริยวงศ์ยังปักหลักนั่งอยู่ที่เดิม นึกไม่ออกว่าระหว่างเขาและเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป

ooooooo

วันนี้พิพิธภัณฑ์ปิด เรรินเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าประตูรั้วที่ปิดสนิท เธอถอยออกมาสำรวจรอบๆ เพื่อหาทางเข้าไปข้างใน  ผีอีเม้ยได้โอกาสบังคับให้รถคันหนึ่งพุ่งเข้าชน แต่เรรินหลบได้ทัน แล้ววิ่งหายเข้าไปอีกทาง ผีอีเม้ยแค้นใจรีบตามไปจัดการ มันเห็นเรรินได้พบกับบัวซอน แล้วบัวซอนก็พาเรรินเข้าไปข้างใน เพราะมีทางเข้าออกสำหรับคนงานในคุ้มอยู่อีกทาง แต่ผีอีเม้ยตามเข้าไปไม่ได้เพราะถูกผีอารักษ์ถีบเด้งออกมา

เรรินหลอกบัวซอนว่าอยากจะเข้าไปถ่ายรูปที่คุ้ม

เจ้าหลวงสักสองสามใบ บัวซอนแนะนำให้เดินผ่านเรือนเจ้านางมณีรินไป ทำให้เรรินได้เห็นภาพในอดีต ครั้งมณีรินออกมานั่งทอผ้าลายสร้อยดอกสาอยู่หน้าเรือน และมีคำเที่ยงเฝ้าดูแลไม่ห่าง

“คุณรินเจ้า” เสียงบัวซอนเรียก เรรินสะดุ้งดึงตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน “คุณรินเดินตรงไปตามทางนี้นะเจ้าหันหลังคาคุ้มเจ้าหลวงอยู่หลังแนวไม้ปุ๊นก่อ คุณอย่าอยู่นานนักนะเจ้า เดี๋ยวพวกยามด้านหน้าจะตำหนิข้าเจ้าได้ ว่าปล่อยหื้อคุณเข้ามา” บัวซอนกำชับแล้วเดินแยกไปทางเรือนพัก

เรรินมุ่งหน้าไปที่ตึกคุ้มเจ้าหลวงแล้วตรงไปห้องทอผ้าทันที เธอจะเข้านั่งในตำแหน่งทอผ้า แต่แล้วต้อง

ชะงักเมื่อเห็นดอกพุดสดๆเหมือนเพิ่งถูกเด็ดมาจากต้นวางอยู่

“ดอกเก็ดถวาคุณชอบดอกเก็ดถวาที่ผมเก็บมาให้ไหม” เจ้าศิริวัฒนาปรากฏกาย

“ขอบคุณค่ะ สวยมาก หอมมากค่ะ”

“แต่คุณก็ชอบดอกไม้อย่างอื่นมากกว่ากลิ่นดอกเก็ดถวามันฉุนเฉียวเกินไป คุณเลยชอบดอกกาซะลองมากกว่า”

“คุณรู้ได้ยังไงคะ”

“ต่อให้ผ่านไปนานเพียงใด ผมก็ไม่มีวันลืมเลือนหรอก”  เจ้าศิริวัฒนาทำเสียงคล้ายตัดพ้อพลางถามต่อว่า อีกนานแค่ไหน กว่าจะทอผ้าผืนนี้เสร็จ

“ผ้าตุ๊มผืนนี้ ไม่กว้างมากก็จริง แต่เจ้านางมณีรินท่านจกลายไว้ค่อนข้างถี่ สีไหมเส้นยืนกับไหมดำที่ใช้จกก็ใกล้กันมาก ฉันคงต้องใช้สายตากับสมาธิดีๆ ถ้าเร่งทอหน่อยไม่น่าจะเกินสองอาทิตย์หรอกค่ะ”

“พอคุณทอผ้าเสร็จ เราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว”

“ทำไมละคะ”

“เอาเถอะ เมื่อถึงเวลานั้น คุณก็จะรู้เอง ที่ข้อมือคุณเป็นรอยอะไร ให้ผมดูหน่อยได้ไหม”

เรรินยื่นข้อมือออกมา เจ้าศิริวัฒนามองรอยไหม้บนข้อมือเรรินรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของอีเม้ย จึงยื่นมือตัวเองออกมาเหมือนจะลูบคลำแผลรอยไหม้นั้น แต่ไม่ได้สัมผัสถูกตัว

เรรินเลย และเมื่อยกมือออก รอยไหม้ดำบนข้อมือเรรินก็ค่อยๆเลือนหายไปกับตา ไม่เหลือร่องรอยใดๆ

เรรินอึ้งแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ooooooo

เรื่องย่อ กลรักลวงใจ ตอน3ละครช่อง3


เรื่่องย่อละคร กลรักลวงใจ
ละคร กลรักลวงใจ ตอน1 ช่อง3
ละคร กลรักลวงใจ ตอน2 ช่อง3
ละคร กลรักลวงใจ ตอน3 ช่อง3
ละคร กลรักลวงใจ ตอน4 ช่อง3
ละคร กลรักลวงใจ ตอน5 ช่อง3
ละคร กลรักลวงใจ ตอน6 ช่อง3
ละคร กลรักลวงใจ ตอน7 ช่อง3
ละคร กลรักลวงใจ ตอน8 ช่อง3
ละคร กลรักลวงใจ ตอน9 ช่อง3
ละคร กลรักลวงใจ ตอน10 ช่อง3
ละคร กลรักลวงใจ ตอน11ช่อง3

ตอนที่ 3

ถึงเวลาไปรอรับรินลดากับอ้อมที่สนามบิน รัญมีท่าทีกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัดจนบัวอดทักไม่ได้ว่า

“ดูท่าทางพี่รัญตื่นเต้นนะคะ”

“จริงหรือ”

“แต่เป็นใครก็คงต้องตื่นเต้นล่ะค่ะ จะได้เจอว่าที่เจ้าสาวในอนาคต”

“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่แม่ผมอยากให้ผมได้ทำความรู้จักกับเธอเท่านั้น ผมจะชอบหรือไม่ชอบเธอ ก็ยังไม่รู้”

“แล้วถ้าพี่รัญชอบเธอล่ะคะ จะแต่งงานกับเธอเลยรึเปล่า”

“ถ้าผมชอบผมก็แต่ง”

“แล้วพี่รัญไม่คิดว่าจะได้เจอคนที่ถูกใจกว่าหรือคะ”

“อย่างคุณน่ะหรือ”

บัวหน้าเจื่อน ปฏิเสธว่าตนไม่ได้หมายถึงตัวเอง สักหน่อย

“ผมรู้ ผมแค่แซวคุณเล่น จริงๆแล้วคนอย่างผมถ้ารักใครก็รักเลย ไม่คิดจะเผื่อใจให้ใครหรอก”

บัวนิ่งไปด้วยความหวั่นไหวกับคำพูดของรัญกลัวว่าเขาจะชอบอ้อมขึ้นมาจริงๆ ครั้นได้พบเจออ้อมกับรินลดา บัวยอมรับว่าอ้อมเป็นคนสวย ผิวพรรณรูปร่างก็ดี แต่นิสัยใจคอจะเป็นยังไงคงต้องดูกันต่อไป ฝ่ายอ้อมพอเห็นรัญรูปหล่อก็ปิ๊งเขาทันที แต่แล้วทั้งอ้อมและรินลดาก็มีอันยิ้มค้าง ชะงักกึก เมื่อรัญแนะนำบัวระวงในฐานะแฟนของตน

ทันทีที่ถึงบ้านรัญ อ้อมถามแกมตำหนิรินลดาไหนว่ารัญไม่มีแฟน แล้วบัวระวงเป็นใครมาจากไหน

“รินขอโทษค่ะ รินเองก็เพิ่งทราบเดี๋ยวนี้ พี่อ้อมใจเย็นก่อนนะคะ”

“เธอจะให้พี่ใจเย็นทนดูเขาเริงรักกันงั้นหรือ พี่กลับกรุงเทพฯดีกว่า”

“อย่าเพิ่งโมโหสิคะพี่อ้อม รินว่ามันต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ”

“เข้าใจผิดรึ พี่ว่าเธอกับแม่เธอต่างหากที่เข้าใจผิด คิดว่าพี่ชายแสนดีไม่มีใคร”

“เอาอย่างนี้นะคะพี่อ้อม พี่อ้อมรออยู่นี่ก่อน ให้รินไปคุยกับพี่รัญว่าความจริงเป็นยังไง”

รินลดากระตือรือร้นออกจากห้องไป อ้อมฮึดฮัด ไม่สบอารมณ์ บ่นอุบ “อะไรของมันวะ”

เมื่อลงมาเจอรัญกับบัวใกล้ชิดสนิทสนมช่วยกันจัดโต๊ะอาหาร รินลดายิ่งหน้าบึ้งตึง บอกพี่ชายว่าขอคุยเป็นการส่วนตัวนอกบ้าน ว่าแล้วเธอก็เดินนำลิ่วออกไปเลย

“คุณตั้งโต๊ะได้เลยนะ เดี๋ยวผมมา” รัญบอกบัวก่อนเดินตามน้องสาวไป โดยมีสายตาของบัวมองตามด้วยความสนใจใคร่รู้...

พอโดนน้องสาวซักไซ้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร รัญก็พูดเหมือนเดิมว่าบัวระวงเป็นแฟน รินลดาหน้างอไม่พอใจสวนว่า “แล้วทำไมน้องกับแม่ไม่รู้”

“ก็แล้วทำไมพี่ต้องรายงานเธอกับแม่ด้วย นี่มันเรื่องส่วนตัวของพี่นะ”

“แต่แม่ต้องการให้พี่แต่งงานกับพี่อ้อมนะ”

“แต่พี่บอกแม่ไปแล้วนี่ ถ้าพี่ชอบพี่ก็จะแต่ง”

“แต่พี่รัญมีผู้หญิงอื่นแบบนี้พี่อ้อมเขาจะชอบพี่รัญได้ยังไง”

“ก็แล้วจะให้พี่ทำยังไง พี่มีแฟนก่อนที่พี่จะเจอคุณอ้อม”

“แต่น้องว่าพี่ควรจะเลิกกับแม่บัวระวงให้เร็วที่สุด ก่อนที่พี่อ้อมจะไปจากพี่”

“พี่ทำอย่างงั้นไม่ได้หรอก และถ้าคุณอ้อมเขาอยากจะกลับ พี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้”

“ถ้าอย่างงั้นน้องจะบอกแม่”

“ดี...แม่จะได้เลิกจับคู่ให้พี่ซะที” รัญหันเดินเข้าบ้านอย่างไม่สนใจ

รินลดากลุ้มใจโอยโอดว่าตนจะทำยังไงดี แม่ต้องด่าแน่ๆ ครั้นรินลดาโทร.ไปบอกเล่าให้แม่ฟัง แม่โมโหโกรธาถามสวนมาเสียงแหลมปรี๊ดว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?

“หนูก็ไม่ทราบค่ะ”

“แล้วหน้าตาเป็นยังไง กับยัยอ้อมใครสวยกว่ากัน”

“สูสีค่ะแม่ สวยคนละแบบ”

“สูสีเลยหรือ”

“ใช่ค่ะ แล้วจะทำยังไงดีคะแม่ พี่อ้อมเขาโวยวายด่าหนูใหญ่เลย แถมยังบอกว่าจะกลับกรุงเทพฯด้วย”

“ไม่ได้นะยัยริน แกจะให้หนูอ้อมกลับไม่ได้นะ”

“แล้วจะให้หนูทำยังไงล่ะแม่”

“แกบอกเขาว่าไม่ต้องห่วง เรื่องแฟนตารัญแม่จะเป็นคนจัดการเอง แล้วแกก็ลองสืบดูซิว่านังบัวระวงเนี่ย มันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มีศักดิ์สกุล มีทรัพย์สินเงินทองมากมายมั้ย”

“แม่หมายความว่าไงคะ”

“ถ้ามันรวยเท่าๆกับยัยอ้อม มีชาติตระกูลเหนือกว่า แกก็ให้ยัยอ้อมกลับได้เลย แต่ถ้ามันเป็นเด็กใจแตกมาเกาะพี่ชายแก แกก็เตรียมหาทางไล่มันไปให้เร็วที่สุด”

“แต่แม่คะ...”

“ไม่มีแต่ ทำตามที่แม่บอก” รมณีย์ตัดสายฉับ เคืองลูกชายที่มีผู้หญิงซ่อนอยู่แล้วไม่ยอมบอก...

ฝ่ายรินลดารีบไปปลอบและให้กำลังใจอ้อมว่าตนคุยกับแม่แล้ว แม่บอกว่าพี่อ้อมไม่ต้องตกใจ ถึงยังไงพี่รัญก็ต้องแต่งงานกับพี่อ้อมพันเปอร์เซ็นต์

“แต่ถ้าพี่รัญเขาไม่ยอมล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ พี่รัญกลัวแม่ ถ้าแม่พูดคำไหนเขาต้องทำตามค่ะ”

ฟังแล้วอ้อมค่อยมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง ยอมลงไปร่วมโต๊ะอาหารกับรัญและบัว แต่พอเห็นบัวตักอาหารเอาใจรัญ ทั้งอ้อมและรินลดาต่างก็มองอย่างหมั่นไส้บัว

“คุณบัวระวงมาเรียนหนังสือหรือมาทำงานที่นี่คะ” รินลดาเริ่มซักประวัติบัว แต่รัญชิงตอบเสียเองว่าบัวจะมาเรียนภาษาเหมือนรินกับคุณอ้อม “งั้นก็ต้องอยู่ที่นี่อีกนานสิคะ”

“ก็คงนานล่ะค่ะ อยู่ที่ว่าพี่รัญจะหมดรักบัวเมื่อไหร่” บัวแซวพร้อมสบตารัญหวานเยิ้ม อ้อมยิ่งหมั่นไส้บัวเป็นทวีคูณ ส่วนรินลดาก็ยังตั้งหน้าตั้งตาซักบัวอย่างเอาเป็นเอาตาย หมายจะให้บัวอึดอัดจนทนไม่ได้แล้วไปจากพี่ชายของตนโดยเร็วที่สุด

“แล้วมาอยู่กับพี่รัญนานๆอย่างนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ว่าหรือคะ”

“บัวไม่มีพ่อแม่ค่ะ”

“ไม่มีพ่อแม่ แล้วเอาตังค์ที่ไหนมาเรียนหนังสือเมืองนอก”

บัวตอบตามที่เตี๊ยมไว้กับรัญว่าตนได้เงินจากพี่ชายซึ่งเป็นเพื่อนกับรัญ แต่พี่ชายก็ไม่ได้ร่ำรวย ทำงานบริษัทมีเงินเก็บบ้างเล็กน้อย

รัญพอใจกับคำตอบของบัวแต่ก็กลัวจะมีหลุดมีพิรุธ จึงเปลี่ยนเรื่องคุยชวนสองสาวออกไปเดินเล่นหลังอาหาร แต่ทั้งคู่ปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกตนเพลียๆ ขอนอนพักดีกว่า พอสองสาวลับกายหายขึ้นไปบนห้องแล้ว บัวก็ถามรัญทันทีว่า การแสดงของตนเป็นยังไงบ้าง รัญบอกใช้ได้ ดูท่าทางสองคนนั้นเชื่อสนิท

อ้อมนั้นเชื่อแน่ ถึงขนาดบอกรินลดาว่าพรุ่งนี้พี่คงต้องกลับเมืองไทยจริงๆ

“อ้าว ทำไมอีกล่ะคะพี่อ้อม”

“ก็เธอไม่เห็นหรือว่าพี่ชายของเธอเขาสวีทกับแม่บัวระวงเหลือเกิน...พี่รัญหมดรักเมื่อไหร่ถึงจะไป...เชอะ ถ้าเกิดไม่หมดรักฉันก็รอจนเหงือกแห้งน่ะสิ”

“แต่รินว่าไม่หรอกค่ะ เดี๋ยวพอแม่โทร.มาทุกอย่างก็จบ”

“เธอไม่ต้องมาเหนี่ยวรั้งฉันหรอก ฉันจะบอกให้เธอรู้นะว่าคนอย่างฉันเนี่ยมีแต่ผู้ชายรุมล้อม แค่ฉันกระดิกนิ้วเรียกหน่อยเดียวผู้ชายก็วิ่งตามเป็นพรวนแล้ว” อ้อมพูดอย่างอารมณ์เสีย เดินเข้าห้องน้ำปิดประตูปังใหญ่จนรินลดาสะดุ้ง บ่นกระปอดกระแปดว่าทำไมต้องเป็นเราด้วย โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง...

ครู่ต่อมาเมื่ออ้อมโทร.ไปรายงานแม่ที่เมืองไทย แม่ไม่ยอมให้ลูกสาวกลับ ไม่ต้องสนใจเรื่องแฟนของรัญ เพราะเมื่อสักครู่คุณหญิงรมณีย์เพิ่งโทร.มายืนยันกับแม่ว่าเขาจะจัดการไล่นังบัวระวงออกไป

“แต่เขารักกันนะแม่”

“แกก็ต้องแย่งมาให้ได้ ไม่ว่าวิธีไหน แกไม่อยากเป็นคุณหญิงหรือไง นึกถึงทรัพย์สมบัติของเขาไว้ ถ้าแกแต่งงานกับเขาสมบัติทุกชิ้นของเขาก็จะเป็นของแก แกจะสบายไปทั้งชาติ พ่อกับแม่ก็จะได้สบายไปด้วย เข้าใจรึเปล่า”

“ก็ได้ค่ะ”

“ดีมาก” เพียงเพ็ญวางสายด้วยรอยยิ้ม แต่แล้วต้องหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อหันมาเห็นสามียืนมองอยู่ข้างหลัง 

“ไหนคุณบอกว่าส่งลูกไปเรียนต่อไง ทำไมถึงมีเรื่องแย่งผู้ชายอะไรกัน”

“ไม่ได้แย่งอะไรหรอกค่ะ คุณหญิงรมณีย์เขาอยากให้ลูกชายแต่งงานกับยัยอ้อม แต่บังเอิญลูกชายดันมีผู้หญิงมาเกาะ ฉันก็เลยบอกยัยอ้อมว่าไม่ต้องสนใจ”

“แต่เท่าที่ผมได้ยินคุณบอกลูก ผมไม่ชอบวิธีการที่คุณสอนลูกนะ”

“นี่คุณสิงห์ ฉันเป็นแม่นะคะ ฉันก็มีวิธีการอบรมลูกในแบบของฉัน คุณอยู่เฉยๆเถอะ เรื่องลูกฉันจัดการเอง” เพียงเพ็ญสะบัดหน้าเดินหนี สิงห์ได้แต่ถอนใจอย่างระอาในพฤติกรรมภรรยา

ooooooo

คืนแรกที่ต้องนอนร่วมห้องกัน บัวกับรัญต่างรู้สึกอึดอัดกระอักกระอ่วนไม่น้อย บัวระวังตัวแจไม่ยอมนอนเตียงเดียวกับเขา ขอปูผ้านอนบนพื้นข้างเตียง และไม่ให้เขาปิดไฟนอนด้วย รัญซึ่งนอนพื้นแล้วมักจะปวดหลังจึงนอนบนเตียงคนเดียว

แต่พอดึกหน่อยบัวหนาวสั่นจนครางฮือ รัญจึงจะเอาผ้าห่มมาห่มเพิ่มให้ แต่บัวลืมตาขึ้นมาเห็นเขายืนจังก้าตรงหน้าก็ตกใจ ลุกขึ้นนั่งถามเสียงหลง “พี่รัญจะทำอะไรคะเนี่ย”


“ผม​นอน​ไม่​หลับ”
“แต่​พี่​รัญ​บอก​ว่า​จะ​ไม่​ทำ​อะไร​บัว​ไง​คะ พี่​รัญ​ไม่​ชอบ​ผู้หญิง​ขาย​บริการ ลืม​ไป​แล้ว​หรือ​คะ พี่​รัญ​ไม่​ชอบ​ผู้หญิง​ขายตัว​นะ​คะ”
“ก็​ใช่​น่ะ​สิ แล้ว​คุณ​คิด​ว่า​ผม​จะ​ทำ​อะไร​คุณ”
“บัว​จะ​ไป​รู้​เหรอ อยู่ๆพี่​รัญ​ก็​มา​ยืน​จ้อง​บัว”
“ผม​จะ​เอา​ผ้า​ห่ม​ให้​คุณ เพราะ​คุณ​นอน​คราง​ทั้ง​คืน ผม​นอน​ไม่​หลับ...เ​อ้า”
บัว​ยิ้มแหยๆ รับ​ผ้า​ห่ม​มา​จาก​มือ​เขา​พร้อม​ขอบคุณ​เสียง​อ่อย
“ถ้า​คุณ​ทน​หนาว​ไม่​ไหว ขึ้น​มา​นอน​บน​เตียง​เถอะ ผม​ไม่​ทำ​อะไร​คุณ​หรอก”
“บัว​ไม่​หนาว​แล้ว​ค่ะ ได้​ผ้า​ห่ม​อีก​ผืน รับรอง​ไม่​คราง​ให้​พี่​รัญ​ได้ยิน​แล้ว” บัว​ลง​นอน​รีบ​ดึง​ผ้า​ห่ม​คลุมโปง ส่วน​รัญ​กลับ​ขึ้น​เตียง​พร้อม​รอย​ยิ้ม​บางๆ
ooooooo
เพียง​วัน​รุ่ง​ขึ้น รัญ​ก็ได้​รับ​การ​ติดต่อ​จาก​แม่​ว่า​ให้​เขา​ตัดขาด​จาก​บัว​ระ​วง​โดย​เร็ว​ที่สุด
“คง​ไม่ได้​หรอก​ครับ​แม่ อยู่ๆจะ​ให้​ผม​เลิก​กับ​บัว​ระ​วง​ โดย​ไม่​มี​เหตุผล ผม​ทำ​ไม่ได้​ครับ”
“ลูก​ต้อง​ทำได้ เพราะ​แม่​ไป​พูด​บรรยาย​สรรพคุณ​ลูก แล้ว​ก็​ทาบทาม​หนู​อ้อม​กับ​พ่อ​แม่​เขา​ไว้​ให้​ลูก​แล้ว ลูก​ทำ​แบบ​นี้​ แม่​เสียผู้ใหญ่​รู้​มั้ย”
“ก็​ผม​บอก​แม่​แล้ว​ไง​ครับ​ว่า​ผม​ขอ​ศึกษา​ดู​นิสัย​ใจคอ​เธอ​ก่อน ถ้า​เธอ​ถูกใจ​ผม ผม​ก็​จะ​เลิก​กับ​บัว​ระ​วง”
“แต่​การ​ที่​ลูก​เอา​ผู้หญิง​อื่น​มา​อยู่​ด้วย​แบบ​นี้ หนู​อ้อม​เขา​รับ​ไม่ได้​นะ”
“ถ้า​อย่าง​งั้น​ก็​ช่วย​ไม่ได้​ครับ เพราะ​ผม​เจอ​บัว​ระ​วง​ก่อน​เขา”
“นี่​รัญ ฟัง​แม่​ให้​ดี​นะ ครอบครัว​หนู​อ้อม​เนี่ย​เขา​มี​ทั้ง​เงิน​และ​ชาติ​ตระกูล ถ้า​ลูก​ได้​แต่งงาน​กับ​เขา​ลูก​ก็​จะ​สบาย​ไป​ทั้ง​ชาติ​นะ”
รัญ​อึ้ง​ไป​นิด​อย่าง​ผิดหวัง​กับ​ความ​คิด​ของ​แม่ “ที่​แม่​ต้องการ​ให้​ผม​แต่งงาน​กับ​เขา​ก็​เพราะ​ต้องการ​ทรัพย์สิน​เงิน​ทอง​ของ​เขา​เท่านั้น​เอง​หรือ​ครับ”
“ไม่​ใช่...แม่​ไม่ได้​คิดถึง​ขนาด​นั้น​หรอก เพียง​แต่​แม่​อยาก​ให้​ลูก​ได้​แต่งงาน​กับ​คน​ดีๆเพื่อ​อนาคต​ของ​ลูก​เอง”
“เอา​ล่ะ​ครับ​แม่ ถ้า​คุณ​อ้อม​ดี​จริง​อย่าง​ที่​แม่​บอก ผม​ก็​จะ​แต่ง​กับ​เขา แต่​ผม​จะ​เป็น​คน​ตัดสินใจ​ด้วย​ตัว​ผม​เอง”
“แต่​ถึง​ยัง​ไง​แม่​ก็​ต้องการ​ให้​ลูกไล่​ผู้หญิง​ชื่อ​บัว​ระ​วง​ออก​ไป”
“ผม​บอก​แล้ว​ไง​ครับ​ว่า​ผม​ทำ​ไม่ได้ แค่​นี้​นะ​ครับ​แม่” รัญ​ตัด​สาย​แล้ว​เดิน​ขึ้น​ตึก​สถาน​ทูต​เข้า​ทำ​งาน ใน​ขณะ​ที่​คน​เป็น​แม่​ทาง​เมือ​ง​ไทย​ร้อน​ใจ​เป็น​อย่าง​มาก บอก​กับ​ตัว​เอง​ว่า​ไม่ได้​การ​แล้ว ต้อง​สืบ​โดย​เร็ว​ว่า​บัว​ระ​วง​เป็น​ใคร​มา​จาก​ไหน
ooooooo
วัน​เดียวกัน​นี้ ครอบครัว​บัว​ซึ่ง​ประกอบ​ไป​ด้วย​พ่อ​แม่​และ​พี่​ชาย รวม​ทั้ง​การ์ตูน​ที่​เป็น​ทั้ง​ญาติ​และ​เพื่อน​สนิท​ของ​บัว ต่าง​มา​รวม​ตัว​กัน​ใน​ห้อง​ประชุม​บริษัท​หลังจาก​มงคล​ได้​รับ​จดหมาย​ของ​ลูก​สาว​ที่​หนี​หาย​ไป​เกือบ​เดือน
บัว​เขียน​มา​บอก​พ่อ​กับ​แม่​ว่า​ไม่​ต้อง​เป็น​ห่วง​เธอ เธอ​สบาย​ดี ขอ​อยู่​เที่ยว​ที่​อเมริกา​สัก​พัก ถ้า​สบายใจ​เมื่อ​ไหร่​แล้ว​เธอ​จะ​กลับ​มา...
นิภา​พรรณ​สงสัย​ว่า​บัว​ไป​อยู่​กับ​ใคร​ที่​อเมริกา ถาม​การ์ตูน​ก็ได้​คำ​ตอบ​ว่า​ไม่​ทราบ ส่วน​เพชร​ก็​ว่า​ตน​มี​เพื่อนอยู่​อเมริกา​แต่​บัว​จะ​ไป​อยู่​กับ​เขา​ได้​ยัง​ไง​เพราะ​เขา​เป็น​ผู้ชาย
“แต่​เรา​ก็​เบาใจ​ได้​แล้ว​นะ​คะ เพราะ​ตอน​นี้​เรา​รู้​แล้ว​ว่า​บัว​อยู่​ที่ไหน แล้ว​ก็​ปลอดภัย​ดี” การ์ตูน​ทำ​เนียน​ตีหน้า​แสน​ซื่อ
มงคล​ยัง​หนักใจ​ว่า​จะ​ยกเลิก​การ​แต่งงาน​ของ​บัว​กับ​ฉัตร​ชัย​ยัง​ไง​ดี เพชร​ว่า​ไม่​ยาก แค่​บอก​ทาง​โน้น​ว่า​บัว​ท้อง​กับ​ฝรั่ง​ที่​เมืองนอก ก็​เลย​โดน​แม่​ตวาด​แว้​ด​เข้า​ให้​ว่า
“แก​ก็​พูดจา​น่า​เกลียด น้อง​เป็น​ผู้หญิง​นะ​พูด​เรื่อง​ท้องเรื่อง​ไส้​ได้​ยัง​ไง”
“ถ้า​อย่าง​งั้น​ก็​ต้อง​เปลี่ยน​เจ้าสาว”
มงคล​ถาม​เพชร​ว่า​เปลี่ยน​ยัง​ไง เพชร​ให้​ส่ง​การ์ตูน​ไป​แทน การ์ตูน​ถึง​กับ​ร้อง​ลั่น​ปฏิเสธ​พัลวัน​ว่า​ตน​ก็​ไม่​ชอบ​ฉัตร​ชัย​เหมือน​กัน
ก่อน​ที่​ใคร​จะ​ว่า​กระไร​อีก เลขาฯ​เคาะ​ประตู​ก่อน​เปิด​เข้า​มา​บอก​เพชร​ว่า​มี​แขก​มา​ขอ​พบ​ชื่อ​คุณหญิง​รมณีย์
“ให้​เขา​รอ​ใน​ห้อง​นะ เดี๋ยว​ผม​ออก​ไป”
เลขาฯ​รับคำ​สั่ง​แล้ว​กลับ​ออก​ไป การ์ตูน​สีหน้า​สงสัย​ใคร่​รู้​ว่า​คุณหญิง​แม่​ของ​รัญ​มา​ด้วย​เรื่อง​อะไร ส่วน​นิภา​พรรณ ​แม่​ของ​เพชร​ก็​ค่อนข้าง​ระแวง​ระวัง​เรื่อง​เงิน​ทองเพราะ​รู้ไส้​รู้​พุง ​ฐานะ​การเงิน​ของ​ครอบครัว​นี้​ดี
“คุณหญิง​เขา​มา​ทำไม ถ้า​เอา​บ้าน​มา​จำนอง​บอก​ว่า​
ไม่​เอา​แล้ว​นะ ตอน​นี้​เรา​จะ​เปิด​โรง​งาน​ใหม่​ต้อง​ใช้​เงิน​อีก​เยอะ”
“รู้​แล้ว​น่า แม่​ก็​ทำ​เป็น​งก​ไป​ได้” เพชร​เดิน​หน้า​ยุ่ง​ออก​ไป โดย​มี​การ์ตูน​ตาม​หลัง​มา​ห่างๆ
นิภา​พรรณ​ยัง​ข้องใจ​ไม่​หาย บ่น​ให้​สามี​ฟัง​ว่า​รมณีย์​ถัง​แตก ของ​เก่า​ยัง​ไม่​มา​ไถ่ กลัว​จะ​มา​เอา​ของ​ใหม่​อีก
“คน​เขา​กำลัง​ลำบาก ช่วย​ได้​ก็​ช่วย​น่า รัญ​กับ​เพชร​ก็​เป็น​เพื่อน​กัน”
ฟัง​สามี​แล้ว​ไม่ค่อย​ชอบใจ​นัก นิภา​พรรณ​ค้อน​ปะ​หลับ ​ปะ​เหลือก​ก่อน​ลุก​ออก​จาก​ห้อง​ไป​อีก​คน
รมณีย์​มา​ด้วย​ธุระ​เรื่อง​รัญ​ซุก​แฟน​ไว้​ที่​บ้าน จึง​มา​ถาม​เพชร​ที่​เป็น​เพื่อน​รัก​กับ​รัญ​ว่า​พอ​จะ​รู้​เรื่อง​นี้​บ้าง​ไหม เพชร​ซึ่ง​เป็น​คน​จัดหา​ผู้หญิง​คน​นี้​ไป​ให้​รัญ​ยอม​รับ​ว่า​ทราบ​นิดหน่อย รัญ​เคย​โทร.​มา​คุย​บ้าง
“เห็น​เขา​ว่า​เป็น​น้อง​สาว​ของ​เพื่อน​ตา​รัญ​สมัย​เรียน​อยู่​เชียงใหม่ เพชร​รู้​มั้ย​ว่า​เพื่อน​คน​ไหน”
“รู้สึก​ว่า​จะ​เป็น​น้อง​สาว​สร​ศักดิ์​น่ะ​ครับ” เพชร​ตอบ​อย่าง​ที่​เตี๊ยม​กับ​รัญ​ไว้ และ​ไม่​ว่า​รมณีย์​จะ​ซัก​อะไร​ยัง​ไง​ต่อ เพชร​ก็​เนียน​มาก ตอบ​โดย​ไม่​ติด​ไม่​ขัด​ให้​เป็น​พิรุธ
“แม่​ไม่​อยาก​ให้​ตา​รัญ​ไป​คบ​ผู้หญิง​สะเปะสะปะ เกิด​ไป​ได้​คน​ไม่​ดี​เข้า​มัน​จะ​มี​ผล​กับ​หน้าที่​การ​งาน​ของ​เขา”
“ถ้า​งั้น​เดี๋ยว​ผม​จะ​ลอง​ถาม​เพื่อนๆดู​ว่า​น้อง​ของ​สร​ศักดิ์​เป็น​ยัง​ไง​บ้าง”
“ขอบใจ​จ้ะ เออ ที่​สำคัญ​แม่​อยาก​รู้​ว่า​ครอบครัว​เขา ​ร่ำรวย​มี​เงิน​มี​ฐานะ​บ้าง​มั้ย”
“ได้​ครับ ผม​จะ​ซัก​ถาม​ให้​ละเอียด​เลย​ครับ”
“ขอบใจ​มาก​นะ​เพชร อ้อ แล้ว​ไอ้​เรื่อง​ที่ดิน​ที่​แม่​จำนอง​ไว้​แม่​ขอผัด​ไป​อีก​ซัก​สาม​เดือน​นะ ตอน​นี้​แม่​ช็อต​นิดหน่อย”
“ไม่​เป็นไร​ครับ​คุณ​แม่ เรื่อง​นั้น​ไม่​มี​ปัญหา”
รมณีย์​ยิ้ม​ออก ส่วน​การ์ตูน​ที่​แนบ​หู​แอบ​ฟัง​อยู่​ด้าน​นอก​มี​อัน​ต้อง​สะดุ้ง​เมื่อ​นิภา​พรรณ​เดิน​มา​ทัก​ถาม​ว่า​ทำ​อะไร มา​แอบ​ฟัง​เขา​คุย​กัน​หรือ การ์ตูน​อึกๆอักๆเอา​ตัว​รอด​ด้วย​การ​โกหก​ว่า​ตน​จะ​มา​แอบ​ฟัง​ว่า​เขา​มา​ยืม​เงิน​พี่​เพชร​หรือ​เปล่า นิภา​พรรณ​ตา​พอง​ทันทีชม​การ์ตูน​ทำ​ดี​มากแล้ว​ผล​เป็น​ยัง​ไงเขา​ขอยืม​รึ​เปล่า
การ์ตูน​บอก​เปล่า แต่​เห็น​ว่า​อีก​สอง​สาม​วัน​จะ​เอา​เงิน​มา​ใช้​หนี้ นิภา​พรรณ​เลย​โล่ง​อก ผละ​ไป​อย่าง​สบายใจ ด้าน​คุณหญิง​รมณีย์​พอ​เสร็จ​ธุระ​กับ​เพชร​ก็​ขอตัว​กลับ เดิน​ออก​มา​เจอ​การ์ตูน​ยกมือ​ไหว้​สวัสดี แทนที่จะ​รับไหว้​สัก​นิด เธอ​กลับ​ทำ​เชิด​เดิน​ผ่าน​ไป​เฉย​เลย การ์ตูน​มอง​ตาม​พลาง​ก็​นึก​สยอง​แทน​บัว​ที่​ท่าทาง​จะ​เจอ​ศึก​หนัก​เข้า​ให้​แล้ว
ooooooo
เช้า​วัน​นี้​บัว​ตื่น​มา​ทำ​อาหาร​ตาม​ปกติ แต่​ที่​ไม่​ปกติ​ก็​คือ​อ้อม​พยายาม​แย่ง​งาน​บัว​ทำ​ทุก​อย่าง แต่​เอา​เข้า​จริง​ก็​ไม่​เอา​ไหน ปิ้ง​ขนม​ปัง​ก็​ไหม้ แถม​ชง​กาแฟ​ ก็​ต้อง​คอย​ถาม​สูตร​จาก​บัว​ที่​รู้​ใจ​รัญ​เป็น​อย่าง​ดี รัญ​จึง​บอก​ให้​บัว​ทำ​อย่าง​เคย​ดี​กว่า อ้อม​ไม่​พอใจ​บัว แกล้ง​ใช้​ให้​ริน​กาแฟ​ให้​ตน​ด้วย รัญ​มอง​ออก​ว่า​บัว​ไม่​พอใจ​จึง​อาสา​ริน​ให้​อ้อม​เอง
“แล้ว​นี่​ริน​ยัง​ไม่​ตื่น​หรือ​ครับ” รัญ​เปลี่ยน​เรื่อง​คุย
“น้อง​ริน​อาบ​น้ำ​อยู่​ค่ะ แล้ว​กลางวัน​นี้​พี่​รัญ​อยาก​ทาน​อะไร​คะ”
“ผม​ว่า​ไป​ทาน​ข้าง​นอก​ดี​กว่า เพราะ​บ่าย​พวก​คุณ​ต้อง​ไป​สอบ​วัด​ระดับ​การ​ใช้​ภาษา”
“งั้น​ดี​เลย​ค่ะ อ้อม​ชอบ​อาหาร​อิ​ตา​เลี่ยน”
บัว​มอง​อ้อม​อย่าง​หมั่นไส้ แล้ว​หัน​ไป​หยิบ​จัด​ของ​ใน​ครัว พร้อม​กับ​เงี่ยหู​ฟัง​อ้อม​ชวน​รัญ​คุย
“พี่​รัญ​มา​อยู่​ที่​นี่​กี่​ปี​แล้ว​คะ”
“สาม​ปีกว่า​แล้ว​ครับ ก่อน​หน้า​นี้​ผม​อยู่​อังกฤษ​แล้ว​ก็​ย้าย​ตาม​ท่าน​ทูต​มา​ที่​นี่”
“อิจฉา​พี่​รัญ​จัง​เลย​นะ​คะ ได้​ไป​เที่ยว​รอบ​โลก​เลย เอ๊ะ อย่าง​นี้​ถ้า​พี่​รัญ​แต่งงาน​มี​ครอบครัว ลูก​กับ​ภรรยา​ก็​ต้อง​ย้าย​ตาม​ไป​ทุก​ที่​ใช่​ไหม​คะ”
“ครับ”
“ดี​จัง​เลย​ค่ะ อ้อม​ชอบ​การ​เดินทาง”
บัว​ชะงัก​เหลือบ​มอง​ทั้ง​คู่ พอดี​รัญ​มอง​เลย​ไป​เห็น บัว​จึง​ฝืน​ยิ้ม​ก่อน​เดิน​ออก​ไป​เงียบๆ โดยที่​อ้อม​ยัง​ส่งเสียง​เจื้อยแจ้ว​ทำ​หน้า​แอ๊บแบ๊ว​ใส่​รัญ
“แล้ว​อย่าง​แอฟ​ริ​กา​ต้อง​ไป​ไหม​คะ”
“ก็​ต้อง​ไป​ครับ​ถ้า​มี​คำสั่ง”
“แต่​อ้อม​ไม่​ไป​นะ​คะ​พี่​รัญ อ้อม​ไม่​ชอบ​แอฟ​ริ​กา อ้อม​ว่า​มัน​ดู​น่า​กลัว...อุ๊ย ขอโทษ​ค่ะ อ้อม​ลืมตัว​ไป​คิด​ว่า​เป็น​แฟน​พี่​รัญ”
“ไม่​เป็นไร​ครับ ผม​เอง​ก็​ไม่​ชอบ​แอฟริ​กา”
“จริง​หรือ​คะ ไม่​อยาก​เชื่อ​เลย​ว่า​พี่​รัญ​กับ​อ้อม​จะ​ใจ​ตรง​กัน”
บัวแอบฟังอยู่นอกห้อง ร้อนใจที่อ้อมจู่โจมรัญเหลือเกิน แล้วบัวต้องสะดุ้งตกใจกับเสียงรินลดาที่ถามบัวว่ามายืนทำอะไรตรงนี้ แต่พอชะโงกมองเข้าไปในห้องเห็นรัญกับอ้อมคุยกันอยู่ ก็เข้าใจทันทีว่าบัวมาแอบฟัง แต่บัวบอกเปล่า ตนแค่ยืนรอว่ารัญทานเสร็จหรือยังจะได้เก็บโต๊ะ
รินลดาไม่เชื่อ มองตามบัวด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหันกลับมาที่อ้อมและรัญแล้วพูดกับตัวเองเบาๆอย่างพอใจ
“ดีพี่อ้อม พยายามทำคะแนนเข้าไว้ เราจะได้อยู่ที่นี่นานๆ”
ooooooo
ถึงเวลาสามสาวไปสอบวัดระดับการใช้ภาษาซึ่งมีผู้เข้าสอบทั้งชาวเอเชียและฝรั่ง บัวอ่านข้อสอบปราดเดียวก็ยิ้มย่อง เพราะสำหรับเธอมันง่ายมาก เช่นเดียวกับรินลดาที่หวานหมู แต่สำหรับอ้อมที่ไม่เคยใส่ใจการเรียนมาแต่ไหนแต่ไรถึงกับนั่งหน้าเครียด กาแล้วลบ ลบแล้วกาใหม่จนกระดาษเปรอะไปหมด
ฝ่ายบัวพอทำเสร็จเกิดนึกได้ว่า ถ้าตัวเองทำถูกทุกข้อมีหวังรัญต้องสงสัยแน่ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงขายบริการ บัวจึงขีดคำตอบเดิมทิ้งแล้วกาใหม่
หลังจากสอบเสร็จได้ไม่นาน อาจารย์ก็ประกาศผลให้รู้เลย ปรากฏว่ารินลดาได้ระดับ 7 บัวระดับ 4 และอ้อมระดับ 1 นั่นหมายถึงว่าอ้อมได้คะแนนต่ำสุดต้องเริ่มเรียนตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ตอนแรกอ้อมก็โทษโรงเรียน จะขอเปลี่ยนที่ใหม่ แต่พอรัญจะไปคุยกับอาจารย์ ขอให้เธอสอบอีกครั้ง อ้อมซึ่งรู้ตัวดีว่าทำไม่ได้ก็รีบตัดบทว่า
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนึ่งก็หนึ่ง เริ่มเรียนตั้งแต่ขั้นพื้นฐานเลยจะได้แน่น”
บัวแอบยิ้มขำอย่างรู้ทัน อ้อมหันมาเห็นเลยเป็นเรื่อง หาว่าบัวยิ้มเยาะตน
“เปล่าค่ะ บัวเพียงแต่ขำตัวเองที่กามั่วไปหมดยังได้เรียนระดับ 4 ฟลุกจริงๆ”
“แต่รินว่าพี่รัญต้องเลี้ยงให้น้องนะ น้องได้ตั้งระดับ 7”
“ได้เลย เดี๋ยวพี่จะพาไป”
รินลดาคล้องแขนพี่ชายออกเดิน บัวก้าวตาม แต่ไม่วายเหลือบมองอ้อมที่ยืนหน้าตูมตึง แอบด่าข้อสอบบ้าอะไร ทำไมมันยากนักวะ...
เรื่องเรียนอ้อมไม่ถนัด แต่เรื่องยั่วยวนหว่านเสน่ห์อ้อมเชี่ยวชาญนัก คืนนี้เธอตีสนิทรัญด้วยการทำตัวเป็นแม่หมอดูดวงให้เขา บัวมีหรือจะยอมปล่อยผ่าน เธอแกล้งเข้ามาเตือนรัญว่าพรุ่งนี้เขาต้องไปรับท่านทูตแต่เช้า ควรจะนอนเร็วหน่อย
รัญเห็นดีด้วย บอกอ้อมว่าเอาไว้วันหลังค่อยดูต่อ แต่อ้อมไม่ยอมออดอ้อนขออีกแค่สิบนาที
“ไม่ได้หรอกค่ะ นี่จะสี่ทุ่มแล้วนะคะพี่รัญ”
“เอาไว้วันหลังดีกว่าครับ ผมต้องนอนแล้ว” รัญลุกเดินออกไป บัวรอจนรัญลับกายแล้วค่อยพูดภาษาอิตาเลียนกับอ้อม อ้อมระแวงนึกว่าบัวด่าตน แต่บัวบอกเปล่า ก็แค่บอกราตรีสวัสดิ์ ขอให้นอนหลับฝันดี ว่าแล้วบัวก็เดินจากไป ทิ้งอ้อมยืนฮึดฮัดขัดใจ คิดว่านังบัวระวงคนนี้ท่าทางจะร้ายไม่น้อยไปกว่าตน
เข้ามาในห้องรัญ บัวนอนที่พื้นเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือจิตใจที่หวั่นหวาดไม่แน่ใจว่ารัญคิดยังไงกับอ้อมบ้าง จึงลองเลียบเคียงหยั่งความรู้สึกเขาดูว่า
“คุณอ้อมเป็นยังไงบ้างคะ พี่รัญสนใจเธอบ้างไหม”
“เธอก็ดีนะ”
“ดีหรือคะ”
“อืม...ก็น่ารักดี แต่คงต้องดูกันไปอีกซักระยะนึง คนเราเจอกันวันสองวันยังบอกอะไรไม่ได้หรอก เหมือนอย่างบัว เราเจอกันใหม่ๆก็ต้องใช้เวลาปรับตัวเข้าหากัน”
“หมายความว่าตอนนี้พี่รัญก็ยังไม่ได้ชอบอะไรเขาใช่ไหมคะ”
“เจอปุ๊บจะให้ชอบปั๊บเลยหรือ ทำไม อยากกลับบ้านแล้วหรือไง”
“เปล่าค่ะ ก็แค่ถามเล่นๆ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าผมชอบคุณอ้อม ผมไม่หักเงินคุณหรอก ผมนอนก่อนนะ” พูดจบรัญล้มตัวลงนอนบนเตียง บัวเองก็นอนในที่ของตน แต่เธอลืมตาโพลงอย่างคิดหนัก
ooooooo
หลังจากเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับกระสับกระส่าย รุ่งขึ้นบัวจึงโทร.บอกเล่าเรื่องราวที่ตนกำลังเผชิญกับอ้อมที่ร้ายกาจไม่เบาให้การ์ตูนฟัง การ์ตูนเห็นใจบัว แต่ขอให้อดทน อย่าเพิ่งท้อเสียก่อน เพราะอ้อมเพิ่งเป็นแค่ด่านแรก
“แกหมายความว่าไงด่านแรก” บัวซักอย่างไม่เข้าใจ
“ก็เมื่อวานแม่พี่รัญมาหาพี่เพชร ฉันเพิ่งเห็นหน้าเขาครั้งแรก คนอะไรหน้าแข็งชะมัด ท่าทางไว้ตัวน่าดู”
“ก็เขาเป็นคุณหญิงนะแก เขาก็ต้องมีมาดหน่อยสิ”
“ฉันล่ะกลัวแทนแกจริงๆ วันนึงถ้าแกได้เป็นสะใภ้เขาล่ะก็ แกต้องตัวลีบหัวหดแน่ไอ้บัว”
“เรื่องนั้นฉันไม่กลัว ขอแค่พี่รัญรักฉัน ฉันทนได้ทุกอย่าง”
“มิน่าเขาถึงว่าความรักทำให้คนตาบอด”
“เอาล่ะ แค่นี้ก่อนนะ ได้พูดระบายให้แกฟังค่อยสบายใจขึ้นหน่อย”
“เออ สู้ๆนะเพื่อน มีอะไรก็โทร.มา”
การ์ตูนวางสายแล้วเดินไปกดลิฟต์เพื่อขึ้นห้องพักในอพาร์ตเมนต์ แต่พอเธอก้าวเข้าลิฟต์ จู่ๆฉัตรชัยที่สะกดรอยตามมาตลอดก็พุ่งพรวดเข้ามาด้วย การ์ตูนตกใจมากพยายามจะเลี่ยงหนีแต่ก็ยาก เพราะอยู่ในลิฟต์ที่คับแคบ
ฉัตรชัยคาดคั้นข่มขู่ต้องการคำตอบเรื่องบัว การ์ตูนไม่ได้กลัวแต่รำคาญมากกว่าก็เลยหยิบซองจดหมายของบัวส่งให้เขาดูเอาเอง ฉัตรเห็นหน้าซองส่งมาจากอเมริกา แปลกใจว่าบัวไปอยู่กับใคร
“ก็แฟนเขาน่ะสิ นี่คุณฉัตรชัยฉันว่าคุณตัดใจเถอะ ป่านนี้บัวต้องมีอะไรกับแฟนแล้ว”
“อย่าพูดอย่างงั้นนะ”
“ฉันพูดเรื่องจริง”
“แต่มันเจ็บปวด ผมรักบัว คุณได้ยินมั้ย”
การ์ตูนไม่ฟัง เดินออกจากลิฟต์ตรงไปยังห้องพักตัวเอง แต่ฉัตรชัยก็ยังก้าวตามมาอีก
“นี่คุณ ฉันขอแนะนำให้คุณลืมบัวซะ แล้วก็หาผู้หญิงคนใหม่ที่เขาโสด ซิง โลนลี่”
“คุณหมายถึงคุณใช่มั้ย”
“ก็คล้ายๆ เพราะฉันโสดซิงแต่ไม่โลนลี่”
“ฝันไปเถอะ ผมยอมตายซะดีกว่า” พูดจบเขาหันกลับทันที การ์ตูนไม่พอใจกระชากแขนถามเขาว่ากล้าดียังไงถึงพูดอย่างนี้กับตน ตนกับบัวมีอะไรที่ไม่เหมือนกัน
“ก็ความแจ๋ไง”
ขาดคำ...ฝ่ามือการ์ตูนฟาดหน้าเขาเต็มแรง เขาโกรธเงื้อมือเหมือนจะต่อย แต่แล้วเปลี่ยนเป็นรั้งเธอมาจูบปาก การ์ตูนฉุนกึกผลักเขาพร้อมกับด่าไอ้บ้าแล้ววิ่งหนีเข้าห้องไปเลย
ooooooo
เพชรโทร.หารัญที่ปราก แต่ขณะนั้นรัญกำลังอาบน้ำจึงร้องบอกบัวช่วยรับแทน ให้บอกว่าเดี๋ยวตนโทร.กลับ พอบัวพูดฮัลโหล เพชรชะงักคุ้นเสียงนี้มาก บัวเองพอได้ยินเสียงพี่ชายก็จำได้ทันที จึงบีบเสียงพูดตามที่รัญบอกก่อนตัดสายอย่างรวดเร็ว
เพชรไม่ติดใจเพราะเข้าใจว่าเป็นผู้หญิงไซด์ไลน์ที่ชื่อบัวระวง เมื่อรัญโทร.กลับมาเพชรจึงบอกเล่าว่าแม่ของเขามาถามเรื่องบัวระวง และตนก็ตอบไปตามที่เตี๊ยมกันไว้
“ดีแล้วที่แกพูดไปอย่างงั้น”
“ว่าแต่แกเถอะ เจอน้องอ้อมแล้วเป็นไง”
“ก็สวยน่ารักดี”
“เฮ้ย...อย่างนี้ต้องคิดหนักหน่อยนะโว้ย ได้ฟัดทั้งเด็กออฟ ได้ขยี้ว่าที่คู่หมั้น”
“แกนี่มันพูดจาลามกจริงๆ ฉันไม่ได้เหมือนแกนะโว้ย ลูบไม่เจอหางก็รวบหมด”
“อ้าว ในโลกนี้ผู้หญิงมีไว้คู่กับผู้ชายนะโว้ย ฉันจะสอนแกนะไอ้รัญ โอกาสดีๆไม่มีบ่อย จัดการทั้งสองคนเลย”
“คงไม่ล่ะ แค่นี้นะ” รัญวางสาย บัวที่แอบฟังรีบหันหน้ากลับ แสร้งถามว่าเพื่อนพี่รัญหรือ รัญบอกใช่ ชื่อเพชร เขาใช้บริการเจ๊อ้อบ่อยๆ เธอไม่รู้จักเหรอ
“บัวบอกแล้วไงว่าบัวเพิ่งรับงานพี่รัญเป็นคนแรก แต่กลับไปไม่แน่ อาจจะเจอเขาก็ได้”
รัญมองบัวอย่างไม่สบอารมณ์กับคำตอบ แล้วถามบัวว่าคิดยังไงถึงมาทำงานแบบนี้ บัวตอบทันทีว่าอยากได้เงิน รัญจึงว่ามีวิธีอื่นเยอะแยะไม่เห็นต้องมาขายตัว บัวยิ้มกริ่มขยับลุกจากที่นอนตัวเองมายืนเท้าแขนที่ขอบเตียงมองรัญตาฉ่ำแกล้งอำ
“ถ้าไม่ขายตัวบัวก็ไม่ได้เจอพี่รัญน่ะสิ”
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่าไง”
“แหม หน้าตาหล่ออย่างพี่รัญ มีการศึกษา ฐานะดี มีผู้หญิงที่ไหนไม่อยากนอนด้วย”
รัญอึ้งกับคำตอบ บัวแกล้งยิ้มยั่ว ทันใดเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงรินลดาเรียกพี่รัญ สองคนในห้องมองกันเลิ่กลั่กตกใจ

รินลดาเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อกเข้ามาเห็นบัวกับรัญนอนกอดกันบนเตียงก็ชักสีหน้าไม่พอใจ แต่เอ่ยปากขอโทษ ไม่คิดว่ากำลังจู๋จี๋กัน บัวปฏิเสธว่าไม่ได้จู๋จี๋ เราแค่คุยกัน รินลดาไม่อยากต่อความยาว บอกพี่ชายว่าพรุ่งนี้พี่อ้อมชวนตนไปช็อปปิ้ง ตนก็เลยจะขอเงินพี่สักสองยูโร

“ได้...เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเอาให้”

“ขอบคุณค่ะ” รินลดาจะหันกลับแต่ยังเหลือบมองบัวอย่างไม่ชอบใจ บัวเลยแกล้งกู๊ดไนต์เสียงหวาน เท่านั้นเอง รินลดาก็สะบัดหน้าพรืดออกไปทันที บัวแอบสะใจ แล้วบอก รัญที่ยังกอดเธออยู่ให้ปล่อยได้แล้ว

“เมื่อกี้คุณยังพูดไม่จบ คุณบอกว่าอยากนอนกับผมไม่ใช่หรือ”

“เอ่อ...บัว...บัวไม่ได้หมายถึงตัวเองค่ะ  บัวหมายถึงผู้หญิงทั่วๆไป”

“แสดงว่าผมไม่ใช่ผู้ชายในสเปกคุณ”

“ก็...นิดๆค่ะ ที่จริงบัวชอบคนผิวคล้ำๆมากกว่า” บัวเอาตัวรอด แต่รัญรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าจึงพูดกลบเกลื่อน

“แต่ถึงคุณอยากจะนอนกับผม ผมก็ไม่นอนกับคุณอยู่ดี เชิญคุณข้างล่าง”

บัวมองค้อน ลากผ้าห่มลงไปนอนกับพื้น รัญยกแขนตัวเองขึ้นมองอย่างหงุดหงิด พูดงึมงำว่าที่จริงเราก็ไม่ได้ขาวมากมายอะไร บัวได้ยินอดยิ้มขำไม่ได้แต่กลัวเขาจะเห็นก็เลยดึงผ้าห่มปิดหน้าตัวเองไว้

ฝ่ายรินลดาพอกลับออกมาก็ถูกอ้อมซักว่าสองคนนั้นทำอะไรอยู่ เล่นจ้ำจี้กันใช่ไหม รินลดาไม่แน่ใจตอบแบ่งรับแบ่งสู้ อ้อมหงุดหงิดเลยด่าเข้าให้

“เธออย่าทำเป็นโง่หน่อยเลย ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ในห้องด้วยกันเขาก็ต้องทำกิจกรรมบนเตียงกันทั้งนั้นแหละ โอ๊ย ฉันทนอยู่ที่นี่ทำไมเนี่ย”

“ใจเย็นค่ะพี่อ้อม มันก็แค่กิจกรรมชั่วคราวเท่านั้น รินว่าเราไปวางแผนเล่นงานนังบัวระวงกันดีกว่า” รินลดาประจบคว้าแขนอ้อมกลับไปห้องนอน

ooooooo

เช้าขึ้นบัวออกจากบ้านพร้อมรัญเพื่อไปซื้อของ ส่วนรัญจะไปทำงาน บัวมีความสุขมากที่ได้ใกล้ชิดเขา พอเขาถามว่าชอบที่นี่ไหม  บัวตอบโดยไม่ต้องคิดว่าชอบมาก

“ถ้าชอบก็อยู่นานๆสิ”

“แล้วพี่รัญมีเงินจ้างบัวหรือคะ  ค่าตัวบัวเดือนละแสนนะคะ”

“ถ้าคุณอยากอยู่ต่อ คุณต่างหากที่ต้องจ่ายเงินผม เพราะผมไม่ได้ทำอะไรคุณ เท่ากับว่าคุณมาอยู่บ้านผมฟรีๆ”

“ไม่ยักรู้ว่าพี่รัญก็เขี้ยวเหมือนกันนะคะ”

“แล้วทีคุณล่ะ คุณยังคิดเงินผมทุกบาททุกสตางค์”

“เอาล่ะค่ะ บัวจะลดราคาให้บ้างก็ได้...ว่าแต่เย็นนี้พี่รัญอยากทานอะไรคะ บัวจะได้ทำให้”

“อะไรก็ได้”

บัวภูมิใจนำเสนอไข่พะโล้ รัญบอกดีเหมือนกัน ไม่ได้กินนานแล้ว นอกจากนี้บัวยังเสริมทัพด้วยต้มยำกุ้งกับผัดผัก รัญพยักหน้ารับ และไม่ลืมฝากเงินไว้ให้รินลดาด้วย

รัญถึงสถานทูตได้ครู่เดียวก็ต้องพบกับความอึดอัดลำบากใจ ป้าไหมเอาเรื่องบัวระวงมาพูดให้ท่านทูตกับภาดาได้ยิน วิจารณ์การแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดของเธอจนท่านทูตรู้สึกเป็นห่วงรัญ เตือนว่า

“ถ้าจะเลือกผู้หญิงมาเป็นภรรยา ก็ดูให้เหมาะสมกับเรา ทั้งการศึกษา ฐานะทางสังคม ถ้ามีคุณสมบัติเป็นกุลสตรีด้วยก็จะดี อย่าให้มีอะไรด่างพร้อย เพราะภรรยาก็คือหน้าตาของเรา เราก็คือหน้าตาของประเทศ”

รัญรับคำสีหน้าไม่สู้ดี ภาดายังบอกให้รัญพามารู้จักพวกเราบ้าง รัญจำต้องรับปากทั้งๆที่ลำบากใจเหลือเกิน
ส่วนที่บ้านรัญ บัดนี้แผนการกลั่นแกล้งเริ่มขึ้นแล้ว อ้อมกับรินลดาขนเสื้อผ้าที่ใส่แล้วมาให้บัวซัก อ้างว่าไม่เคยทำงานแบบนี้ แต่บัวปฏิเสธและเน้นย้ำว่าตนซักให้แค่รัญคนเดียว แล้วที่ว่าไม่เคยทำ ถ้าคิดจะมาเรียนเมืองนอกก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง เพราะที่นี่ไม่มีคนรับใช้เหมือนอยู่บ้าน

พูดเสร็จบัวผละหนีอย่างไม่แยแส สองคนโกรธมาก หาว่าบัวปากดี ถือดีมาสั่งสอน เย็นนี้พี่รัญกลับมาจะฟ้องให้จัดการ แต่ตอนนี้อ้อมบอกว่าน้องรินต้องซักผ้าให้พี่ก่อน เพราะพี่ทำไม่เป็น เกิดมาไม่เคยซัก เดี๋ยวพี่ให้ค่าจ้างยี่สิบยูโร

รินลดาจำใจจำยอม เสร็จแล้วสองคนพากันออกไปช็อปปิ้ง แต่เดินอยู่พักใหญ่อ้อมสังเกตรินลดาไม่ซื้ออะไรสักอย่าง พอเธอถาม  รินลดาก็บอกว่าตนต้องอยู่ที่นี่อีกนาน  ต้องเก็บเงินไว้เรียนหนังสือ

“อะไรกัน คุณแม่น้องรินมีเงินตั้งเยอะแยะ พี่ชายก็รวย จะมาขี้เหนียวอยู่ทำไม”

“ไม่ได้หรอกค่ะ พี่รัญไม่ชอบให้ใช้เงินฟุ่มเฟือย”

“ถ้ามีเงินแล้วไม่ใช้จะมีไว้ทำไม นี่ถ้าพี่มีเงินมากเหมือนเธอ พี่จะช็อปให้มากกว่านี้อีก”

“พี่อ้อมพูดเหมือนไม่มีเงิน”

อ้อมสะดุ้ง รีบอ้าง “มันก็มีล่ะ แต่คุณพ่อพี่ก็เหมือนพี่รัญ ขี้เหนียว ไม่ยอมให้ใช้เงิน”

“เราทานกาแฟเสร็จแล้วจะไปไหนต่อคะพี่อ้อม”

“ก็เดินเล่นต่อแถวนี้ พี่ว่ามันชิลๆดี พอเย็นหน่อยพี่จะเลี้ยงข้าวเธอตอบแทนที่เธอซักผ้าให้พี่”

“แต่รินว่าเรากลับไปทานข้าวที่บ้านดีกว่านะคะ แล้วเงินที่พี่อ้อมจะเลี้ยงข้าวเอามาให้รินเถอะค่ะ รินจะเก็บไว้เรียนหนังสือ”

“น้องรินนี่ยังไง ทำไมทำตัวเหมือนลูกขอทานจังเลย”

“ก็บอกแล้วไงคะว่าจะเก็บเงินไว้เรียนหนังสือ เศรษฐกิจยิ่งไม่ดีอยู่ด้วย จ่ายมาค่ะ ยี่สิบยูโร”

อ้อมมองค้อนก่อนควักเงินให้...แล้วตกเย็นตั้งใจกลับมากินข้าวที่บ้าน ปะเหมาะพอดีบัวทำอาหารเสร็จ แต่บัวไม่ยอมให้ทั้งคู่กินก่อน บอกให้รอกินพร้อมรัญ เพราะอาหารพวกนี้ตนตั้งใจทำให้เขากิน สองสาวไม่พอใจอย่างแรง ต่อปากต่อคำกับบัวใหญ่โต เพราะบัวก็ไม่ยอมลงให้เหมือนกัน

สุดท้ายเหตุการณ์บานปลายถึงขนาดอ้อมกับบัวยื้อยุดแย่งหม้อไข่พะโล้กันจนหม้อหล่นโครมหกหมด อ้อมโทษบัวแล้วคว้าไข่ที่พื้นขว้างปาบัวอย่างเจ็บใจ แต่รินลดาเสียดายเข้าห้ามอ้อมเพื่อจะเอาไข่ไปล้างน้ำ

“ปล่อยพี่นะ เธอยังจะเห็นแก่กินอีกหรือ” อ้อมสะบัดมือปาไข่ออกไป รัญเดินเข้ามาพอดี ไข่เกือบโดนหน้าถ้ารับไม่ทัน...

สองสาวเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยรุมใส่ร้ายบัวให้รัญฟังต่างๆนานา พอบัวพูดเรื่องจริงโต้แย้ง เรื่องก็ยืดยาวไม่จบ แถมรินลดายังยุให้พี่ชายไล่บัวไปจากที่นี่

“พอได้แล้วริน เดี๋ยวพี่จะคุยกับบัวเอง เธอกับคุณอ้อมกินข้าวก่อนเลย...บัว ไปคุยกันที่ห้อง”

รัญเดินนำออกไป บัวเชิดหน้าใส่อ้อมก่อนก้าวตาม อ้อมโกรธแทบกรี๊ด ยกเท้าจะกระทืบพื้น แต่ต้องชะงักกึกกับเสียงแหลมๆของรินลดา

“พี่อ้อมอย่าเหยียบค่ะ นั่นไข่ใบสุดท้ายค่ะ” ว่าแล้วสาวรินก็คว้าขึ้นมา “เดี๋ยวรินเอาไปล้างก่อน เสียดาย ยังกินได้”
อ้อมทั้งอึ้งทั้งเหวอ มองตามรินลดาที่รีบร้อนออกไป ชักสงสัยตงิดๆว่า มันเป็นลูกเศรษฐีจริงหรือเปล่า?

ooooooo