ตอนที่ 3
วัชระยังนอนหลับสนิทอยู่ที่โซฟา จนพนักงานโรงแรมมาปลุกถามว่าชื่อวัชระใช่ไหม พอเขาบอกว่าใช่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้บอกว่า “คุณเนตรนภัสต้องการเรียนสายด้วยครับ”
วัชระตาสว่างโพลงทันที อุทาน “แหนม...โทร.มาได้ไงเนี่ย”
ฟังคำตอบจากเนตรนภัสแล้ว วัชระยิ่งมึนตึ้บกับความสามารถพิเศษของเธอ เธอเล่าสบายๆว่า ก็แค่จำชื่อโรงแรมที่เขาจะมาพัก หาเบอร์จากอินเตอร์เน็ต แล้วก็ส่งรูปเขาให้โรงแรมช่วยกันตามหา ง่ายจะตาย
พอเล่าเสร็จ เธอก็รุกทันทีตามแบบฉบับของ “เนตรนภัส” ถามเป็นชุดตามเคยว่า ทำไมไม่ยอมรับสาย ทำอะไรอยู่ หรือว่าอยู่กับผู้หญิงอื่น วัชระทำหน้าเมื่อยบอกว่าตนหลับอยู่ที่ล็อบบี้ เพราะเมื่อคืนเคลียร์หนักจนไม่ได้นอน...พอขับรถมาถึงก็สลบไม่รู้เรื่อง ถามว่าแล้วที่โทร.มามีอะไรหรือเปล่า
“คุณแม่มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย วันนี้ และเดี๋ยวนี้ ...Now...”
วัชระเซ็งจนบอกไม่ถูก ทิ้งตัวลงพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง...
ooooooo
วัชระไปบอกกริชชัยว่าตนต้องกลับด่วนเพราะเนตรนภัสโทร.มาบอกให้กลับเดี๋ยวนี้ ไม่รู้มีเรื่องด่วนอะไร พูดอย่างห่วงความรู้สึกของเพื่อนว่า ยังไงเสียเขาก็ยังมีธีธัชอยู่เป็นเพื่อน พอกริชชัยบอกว่ารายนั้นกลับไปก่อนแล้ว วัชระก็ได้แต่ร้องอ้าว...
แต่เมื่อเนตรนภัสเร่งมาขนาดนี้ยังไงก็ต้องกลับ โดยจะขับมอเตอร์ไซค์ไปจอดที่ออฟฟิศของกริชชัยแล้วขับรถของตัวเองไปหาเธอ กริชชัยเตือนว่าถ้าง่วงก็อย่าฝืน ไม่ไหวจริงๆให้โทร.บอกจะส่งคนไปรับ
วัชระขอบใจเพื่อนแล้วเดินไปเซ็งๆไม่ทันดูดีชนกระจกใสเข้าโครมใหญ่จนเซ ดีที่กริชชัยรับไว้ทันเลยเข้าไปอยู่ในอกเขาดูเหมือนกอดกันอยู่
อรุณศรีเดินมาเห็นภาพนั้นเข้าเต็มตาตกใจผงะแล้วรีบหันหน้าเดินไปทางอื่น ส่วนกริชชัยพอเห็นอรุณศรีมาก็ผลักวัชระออกไปจนล้มก้มจ้ำเบ้า วัชระคลำก้นร้องโอดโอย ต่อว่าเพื่อนว่าจะปล่อยทำไมไม่บอกกันก่อน กริชชัยขอโทษ อวยพรเพื่อนให้กลับโดยสวัสดิภาพ แล้วค่อยคุยกัน
พอวัชระรับคำ เขาก็เดินอ้าวตามอรุณศรีไปอย่างเร่งรีบ วัชระมองตาม ไม่เข้าใจว่าเพื่อนรักจะรีบไปไหน
ooooooo
กริชชัยตามไปจนทันอรุณศรี เรียกเธอไว้แล้วชี้แจงว่า ที่เธอเห็นเมื่อกี้...ถูกอรุณศรีตัดบทว่าตนจะไม่บอกใคร กริชชัยสะอึกพูดต่อไม่ออก อรุณศรีจึงพูดให้เขาสบายใจว่า
“ฉันรู้ว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัว ทั้งเรื่องของคุณกับคุณธีธัช และผู้ชายคนเมื่อกี้นี้ ฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่เม้าท์ และไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวค่ะ ไม่ต้องห่วง”
“เอ่อ...แต่...ว่า...”
กริชชัยไม่ทันชี้แจง เบญลี่ก็มาแจ้งว่า ให้เขาจัดอาหารกลางวันสำหรับเขาและเพื่อนๆไว้แล้ว ที่เทอเรซด้านโน้น วิวดีมากถามว่าเราไปกันเลยไหม กริชชัยบอกว่าได้ แต่ให้อรุณศรี ไปทานร่วมโต๊ะกับตนด้วย
“คะ???” ทั้งอรุณศรีและเบญลี่อุทานพร้อมกันเชิงถาม กริชชัยชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนบอกเขินๆว่า
“คือ...เพื่อนผมกลับไปหมดแล้ว ผมไม่อยากทานคนเดียว ถ้าคุณเบญสะดวกก็ทานด้วยกัน”
เบญลี่ขอตัวเพราะต้องไปคุยเรื่องค่าใช้จ่ายในวันงานกับทางโรงแรม และทางโรงแรมก็จัดอาหารไว้ให้แล้ว พูดสบายๆว่า
“คุยไปกินไปน่ะค่ะ เบญลี่ให้แอ๊วดูแลแทนแล้วกันนะคะ” พูดพลางรุนหลังอรุณศรีเข้าไป
กริชชัยผายมือเชิญทันที อรุณศรีตกกระไดพลอยโจน จำต้องไปทำหน้าที่ที่ไม่ใช่หน้าที่อีกตามเคย
ชายหนุ่มเดินนำไปอย่างมีความสุขมาก ในขณะที่อรุณศรีเองเดินไปอย่างครุ่นคิดระแวงว่ามีอะไรในนี้หรือเปล่า
ooooooo
ซี่โครงหมูบาร์บิคิวถูวางไว้ตรงหน้า อรุณศรีมองหน้ากริชชัยที่นั่งอย่างสุภาพอยู่เบื้องหน้าด้วยความ รู้สึกลำบากใจ จนเขาบอกว่า ถ้าอยากใช้มือทานก็ตามสบาย ไม่ต้องอาย ตนรับได้
อรุณศรีขอบคุณ พูดออกตัวว่าถ้าตนเลอะเทอะคงไม่ไล่ตนออกจากงานเพราะทานอาหารไม่เรียบร้อยใช่ไหม กริชชัยยิ้มอย่างเอ็นดู ผายมือเชิญอย่างสุภาพ
อรุณศรีเช็ดมือแล้วเริ่มใช้มือหยิบซี่โครงหมูทานอย่างเอร็ดอร่อย ท่าทางธรรมชาติคล่องแคล่วเธอทานน่าอร่อยมาก กริชชัยนั่งมองอย่างมีความสุข จนเธอถามว่า
“คุณไม่ทานเหรอ...อร่อยนะ เนื้อหมักได้กำลังดี ล่อนแล้วก็นุ่มดี ซอสก็เข้มข้นใช้ได้เลย” อรุณศรีบรรยายน่าอร่อยจริงๆ
“คุณรู้เรื่องอาหารด้วยเหรอ”
“พี่ชายฉันเป็นเชฟน่ะค่ะ เขาชอบทำอาหารให้ฉันทาน แล้วก็ใช้ฉันเป็นหนูทดลองประจำ” พูดแล้วเห็นกริชชัยฟังเพลินยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขก็ถามว่า “ตกลง...จะไม่ทานเหรอคะ”
กริชชัยรู้สึกตัว ตอบเขินๆว่าทานสิ แล้วหันไปหยิบมีดและส้อมเตรียมจะลงมือ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจวางอุปกรณ์เหล่านั้นลง หันไปเช็ดมือ แล้วใช้มือหยิบเหมือนอรุณศรี แม้จะดูเก้งกางแต่ก็น่ารัก
อรุณศรีมองเขายิ้มๆแล้วหัวเราะขำๆเมื่อเห็นซอสเปื้อนที่แก้มเขา พอบอก เขาก็รีบเอามือเช็ดปรากฏว่ายิ่งเช็ดก็ยิ่งเลอะสุดท้ายขอร้องเธอเขินๆว่า “มือผมเปื้อน รบกวนคุณ...เช็ดให้ผมหน่อยได้หรือเปล่า”
เอ่ยปากขอแล้วมองลุ้น อรุณศรีอิดออดนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจเช็ดมือตัวเองกับผ้าก่อนแล้วหยิบกระดาษทิชชูโน้มตัวข้ามโต๊ะไปเช็ดรอยเปื้อนให้เขา
ความใกล้ชิดและการสัมผัสทำให้ต่างใจเต้นแรงอย่างตื่นเต้น กริชชัยแอบมองเธอในระยะใกล้อย่างแสนจะปลื้มใจ
เบญลี่ผ่านมาพร้อมแฟ้มงาน เห็นภาพนั้นถึงกับชะงักกึก อุทานอย่างอัศจรรย์ใจ... “โอ๊ะ...โอ...” แล้วรีบหลบถามตัวเองว่าตนตาฝาดรึเปล่า ค่อยๆโผล่ไปแอบดูอีก เห็นอรุณศรีลงนั่งตามเดิมแล้ว แต่กริชชัยยังเขินไม่หาย...
เบญลี่ขมวดคิ้วคิดหนัก...อย่างอยากรู้อยากเห็นจริง... จริง...
อรุณศรีเช็ดรอยเปื้อนให้เสร็จ กริชชัยขอบคุณเธอเขินๆ เธอยิ้มให้ ตอบอย่างสง่าผ่าเผยว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่ฉันทำให้เพราะรู้ว่าจริงๆแล้วคุณเป็นอะไร ถ้าคุณเป็น ‘ผู้ชายแท้ๆ’ ฉันก็คงไม่กล้าทำ”
กริชชัยแทบจะหุบยิ้ม พยายามจะชี้แจงแต่มัวเอ้อ... อ้า...พูดไม่ออก เสมองไปนอกหน้าต่างอย่างเหนื่อยใจจนแทบจะทานอะไรไม่ลงอีกเลย
ooooooo
วัชระกลับมาถึงหน้าบ้านเนตรนภัส ก็มีโทร.เข้ามือถือ เขาบ่นเซ็งๆว่าจิกจนวินาทีสุดท้าย แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแต่แล้วก็แปลกใจเมื่อไม่ปรากฏชื่อผู้โทร. พึมพำ “ใครวะ...ซ่อนชื่อเสียด้วย หรือเป็นพวกสายข่าว” แล้วเขาก็กดรับ
“ยอมรับสายแล้วเหรอคุณตำรวจ” เสียงสุพรรณิการ์ทักมาหยันๆแล้วลุกเดินกะเผลกๆขึ้นห้องทำงานที่อยู่ชั้นบนของร้านสาดสุราหวานนารีของตัวเอง ในห้องตกแต่งแบบอินเดีย บรรยากาศสบายๆโรแมนติก
วัชระยังจำไม่ได้ถามว่าเธอเป็นใคร สุพรรณิการ์เดินกะเผลกๆเข้ามาในห้องแล้วพูดกวนๆว่าสงสัยจะชนแล้วหนีหลายคนเลยจำไม่ได้ วัชระกำลังกังวลกับเรื่องที่เนตรนภัสสั่งให้มาพบแม่เลยหงุดหงิด บอกว่าตนไม่มีเวลาล้อเล่นด้วย ฝ่ายสุพรรณิการ์เริ่มของขึ้นเสียงแหวมาว่า ตนโทร.มาก็พูดเรื่องจริงจังไม่ใช่โทร.มาเล่นขำๆ
“วัชคุยกับใคร” เนตรนภัสถามเสียงดังเข้าใปในโทรศัพท์ สุพรรณิการ์ถามว่าเสียงใคร วัชระตัดบททันทีเมื่อเห็นเนตรนภัสเดินตรงรี่เข้ามาว่า เอาแค่นี้ก่อน ถ้ามีธุระจริงๆค่อยโทร.มาอีกที วันนี้ตนไม่มีเวลามาเล่นเกม แล้วตัดสายเลย จนสุพรรณิการ์สวนกลับไปไม่ให้วางสายก็ไม่ทัน
เนตรนภัสเดินมาถึงพอดี จิกถามว่าคุยกับใคร เขาบอกว่าใครไม่รู้คงโทร.ผิด ถูกคาดคั้นอีกว่าแล้วทำไมต้องวางสาย
“อ้าววว ก็เขาโทร.ผิดจะให้ผมพูดอะไรกับเขา” วัชระเริ่มเสียงแข็ง พอเนตรนภัสอาปากจะพูดเขารีบพูดขึ้นก่อนว่า “แหนม คุณแม่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับผมไม่ใช่เหรอ ผมก็รีบขับรถมาตามคำสั่งแล้ว ตกลงจะเสียเวลาทะเลาะกันตรงนี้หรือจะปล่อยให้ผมไปคุยธุระสำคัญ”
เนตรนภัสนึกขึ้นได้รีบควงแขนเขาไม่วายบอกว่าคุยกับคุณแม่ก่อนก็ได้แต่คุยจบแล้วเอาโทรศัพท์ให้ตนจะเช็กดูว่าใครโทร.มา วัชระเซ็งจนบอกไม่ถูก โยนโทรศัพท์ไว้ในรถอย่างหงุดหงิด
ส่วนสุพรรณิการ์ถูกตัดสายทิ้งก็หงุดหงิด มองโทรศัพท์พูดอย่างแค้นใจว่า
“ร้อยตำรวจเอกวัชระ ถ้าฉันตามเจอเมื่อไหร่ นายชะตาขาดแน่!!”
ooooooo
วัชระเข้าบ้าน เจอนรีวรรณจึงหยุดคุยกัน นรีวรรณรู้ชะตากรรมของเขาดีเลยชวนทำบุญต่อชะตา เนตรนภัสยังเกาะแขนเขาแจ ฟังทั้งคู่คุยกัน นรีวรรณอยากให้วัชระทำบุญต่อชะตา เนตรนภัสตัดบทว่าคุณแม่รออยู่ให้รีบไปหา ไล่น้องให้หลบไปเสียแล้วลากวัชระเข้าห้องรับแขกปิดประตูใส่หน้าน้องปังใหญ่
เมื่อไปเจอสีรุ้งนั่งรอเซ็งๆอยู่ในห้องรับแขก เนตรนภัสถามนำว่าคุณแม่มีเรื่องจะคุยกับวัชระไม่ใช่หรือ ทั้งวัชระและสีรุ้งต่างมองกันงงๆ เนตรนภัสรีบกำกับบอกแม่ว่าให้ถามเลย สีรุ้งมองหน้าลูกสาวอย่างอ่อนใจก่อนถามวัชระว่า
“คบกันมาตั้งนานแล้ว ไม่คิดจะ...เปลี่ยนใจบ้างหรือ” สีรุ้งเลี่ยงไปไม่กล้าพูดเรื่องแต่งงาน พอถูกเนตรนภัสเรียกปรามก็พูดว่า “แม่จะบอกว่า ถ้าไม่คิดจะเปลี่ยนใจก็ควรจะทำอะไรๆให้มันเป็นเรื่องเป็นราว มั่นคง ไม่ใช่ควงกันไปควงกันมาแบบนี้”
วัชระเริ่มเอะใจเอ่ยขึ้นว่าอย่าบอกนะว่าคุณแม่หมายถึงเรื่องแต่งงาน พูดไม่ทันขาดคำเสียงเนตรนภัสก็แจ๋ขึ้นทันทีว่า
“ทำไมวัช ถ้าคุณแม่หมายถึงเรื่องการแต่งงานแล้วยังไง หรือว่าวัชไม่คิดจะแต่ง” วัชระหน้าเลิ่กลั่ก สีรุ้งเองก็อึกอักงงๆแต่เนตรนภัสของขึ้นแล้ว เธอใส่ยาวเลยว่า “นี่คิดจะคบแหนมเล่นๆงั้นเหรอ แหนมไม่ยอมนะ แหนมเสียเวลากับวัชมาตั้งหลายปีไม่ยอมเสียเวลาเสียโอกาสแล้วยังเสีย...” คำสุดท้ายเธอละไว้ในฐานที่เข้าใจ
สีรุ้งทนไม่ได้บอกลูกให้พอได้แล้ว แต่เนตรนภัสหยุดไม่ได้ เสียงดังใส่แม่ว่าไม่ต้องพูด ตนจะพูดเอง สีรุ้งแทบลมจับกับอารมณ์ของลูกสาว เนตรนภัสหันมาบอกวัชระว่า ที่เรียกมานี่ไม่ใช่การสอบถามหรือเจรจาแต่เป็นการ “แจ้งให้ทราบ” พูดเด็ดขาดว่า
“วัชจะต้องแต่งงานกับแหนมภายในปีนี้” วัชระหน้าเจื่อนติงว่าปีนี้ก็เหลืออีกไม่กี่เดือนเอง เธอสวนทันที “ใช่ และแหนมก็จะไม่รอไปจนถึงปีหน้า วัชจะต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยและงานแต่งงานของเรา จะต้องเริดที่สุด!”
วัชระหน้าซีดบอกว่าตนไม่มีเงิน จะจัดงานเริดๆแบบนั้นได้ยังไง เธอบอกว่าเรื่องนั้นตนจัดการเอง เสียเงินเท่าไรไม่ว่าแต่ต้องไม่เสียหน้าเด็ดขาด
สีรุ้งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ลมตีขึ้นด้วยความเครียด ในขณะที่เนตรนภัสยังจิกตาใส่วัชระจนเขาอึดอัด เครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมาที่รถเสียงสั่งของเนตรนภัสยังก้องอยู่ในหัว เขายกมือจะทุบรถระบายความอัดอั้น แต่พอเห็นรอยบุบจากการทุบของสุพรรณิการ์ เขาก็ค่อยๆวางมือลงเหมือนกลัวมันจะเจ็บ คำรามทั้งฮึ่ยยยย...ทั้งเฮ่อออ...แต่ก็ไม่ทำให้หายเครียดได้...
วัชระตาสว่างโพลงทันที อุทาน “แหนม...โทร.มาได้ไงเนี่ย”
ฟังคำตอบจากเนตรนภัสแล้ว วัชระยิ่งมึนตึ้บกับความสามารถพิเศษของเธอ เธอเล่าสบายๆว่า ก็แค่จำชื่อโรงแรมที่เขาจะมาพัก หาเบอร์จากอินเตอร์เน็ต แล้วก็ส่งรูปเขาให้โรงแรมช่วยกันตามหา ง่ายจะตาย
พอเล่าเสร็จ เธอก็รุกทันทีตามแบบฉบับของ “เนตรนภัส” ถามเป็นชุดตามเคยว่า ทำไมไม่ยอมรับสาย ทำอะไรอยู่ หรือว่าอยู่กับผู้หญิงอื่น วัชระทำหน้าเมื่อยบอกว่าตนหลับอยู่ที่ล็อบบี้ เพราะเมื่อคืนเคลียร์หนักจนไม่ได้นอน...พอขับรถมาถึงก็สลบไม่รู้เรื่อง ถามว่าแล้วที่โทร.มามีอะไรหรือเปล่า
“คุณแม่มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย วันนี้ และเดี๋ยวนี้ ...Now...”
วัชระเซ็งจนบอกไม่ถูก ทิ้งตัวลงพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง...
ooooooo
วัชระไปบอกกริชชัยว่าตนต้องกลับด่วนเพราะเนตรนภัสโทร.มาบอกให้กลับเดี๋ยวนี้ ไม่รู้มีเรื่องด่วนอะไร พูดอย่างห่วงความรู้สึกของเพื่อนว่า ยังไงเสียเขาก็ยังมีธีธัชอยู่เป็นเพื่อน พอกริชชัยบอกว่ารายนั้นกลับไปก่อนแล้ว วัชระก็ได้แต่ร้องอ้าว...
แต่เมื่อเนตรนภัสเร่งมาขนาดนี้ยังไงก็ต้องกลับ โดยจะขับมอเตอร์ไซค์ไปจอดที่ออฟฟิศของกริชชัยแล้วขับรถของตัวเองไปหาเธอ กริชชัยเตือนว่าถ้าง่วงก็อย่าฝืน ไม่ไหวจริงๆให้โทร.บอกจะส่งคนไปรับ
วัชระขอบใจเพื่อนแล้วเดินไปเซ็งๆไม่ทันดูดีชนกระจกใสเข้าโครมใหญ่จนเซ ดีที่กริชชัยรับไว้ทันเลยเข้าไปอยู่ในอกเขาดูเหมือนกอดกันอยู่
อรุณศรีเดินมาเห็นภาพนั้นเข้าเต็มตาตกใจผงะแล้วรีบหันหน้าเดินไปทางอื่น ส่วนกริชชัยพอเห็นอรุณศรีมาก็ผลักวัชระออกไปจนล้มก้มจ้ำเบ้า วัชระคลำก้นร้องโอดโอย ต่อว่าเพื่อนว่าจะปล่อยทำไมไม่บอกกันก่อน กริชชัยขอโทษ อวยพรเพื่อนให้กลับโดยสวัสดิภาพ แล้วค่อยคุยกัน
พอวัชระรับคำ เขาก็เดินอ้าวตามอรุณศรีไปอย่างเร่งรีบ วัชระมองตาม ไม่เข้าใจว่าเพื่อนรักจะรีบไปไหน
ooooooo
กริชชัยตามไปจนทันอรุณศรี เรียกเธอไว้แล้วชี้แจงว่า ที่เธอเห็นเมื่อกี้...ถูกอรุณศรีตัดบทว่าตนจะไม่บอกใคร กริชชัยสะอึกพูดต่อไม่ออก อรุณศรีจึงพูดให้เขาสบายใจว่า
“ฉันรู้ว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัว ทั้งเรื่องของคุณกับคุณธีธัช และผู้ชายคนเมื่อกี้นี้ ฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่เม้าท์ และไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวค่ะ ไม่ต้องห่วง”
“เอ่อ...แต่...ว่า...”
กริชชัยไม่ทันชี้แจง เบญลี่ก็มาแจ้งว่า ให้เขาจัดอาหารกลางวันสำหรับเขาและเพื่อนๆไว้แล้ว ที่เทอเรซด้านโน้น วิวดีมากถามว่าเราไปกันเลยไหม กริชชัยบอกว่าได้ แต่ให้อรุณศรี ไปทานร่วมโต๊ะกับตนด้วย
“คะ???” ทั้งอรุณศรีและเบญลี่อุทานพร้อมกันเชิงถาม กริชชัยชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนบอกเขินๆว่า
“คือ...เพื่อนผมกลับไปหมดแล้ว ผมไม่อยากทานคนเดียว ถ้าคุณเบญสะดวกก็ทานด้วยกัน”
เบญลี่ขอตัวเพราะต้องไปคุยเรื่องค่าใช้จ่ายในวันงานกับทางโรงแรม และทางโรงแรมก็จัดอาหารไว้ให้แล้ว พูดสบายๆว่า
“คุยไปกินไปน่ะค่ะ เบญลี่ให้แอ๊วดูแลแทนแล้วกันนะคะ” พูดพลางรุนหลังอรุณศรีเข้าไป
กริชชัยผายมือเชิญทันที อรุณศรีตกกระไดพลอยโจน จำต้องไปทำหน้าที่ที่ไม่ใช่หน้าที่อีกตามเคย
ชายหนุ่มเดินนำไปอย่างมีความสุขมาก ในขณะที่อรุณศรีเองเดินไปอย่างครุ่นคิดระแวงว่ามีอะไรในนี้หรือเปล่า
ooooooo
ซี่โครงหมูบาร์บิคิวถูวางไว้ตรงหน้า อรุณศรีมองหน้ากริชชัยที่นั่งอย่างสุภาพอยู่เบื้องหน้าด้วยความ รู้สึกลำบากใจ จนเขาบอกว่า ถ้าอยากใช้มือทานก็ตามสบาย ไม่ต้องอาย ตนรับได้
อรุณศรีขอบคุณ พูดออกตัวว่าถ้าตนเลอะเทอะคงไม่ไล่ตนออกจากงานเพราะทานอาหารไม่เรียบร้อยใช่ไหม กริชชัยยิ้มอย่างเอ็นดู ผายมือเชิญอย่างสุภาพ
อรุณศรีเช็ดมือแล้วเริ่มใช้มือหยิบซี่โครงหมูทานอย่างเอร็ดอร่อย ท่าทางธรรมชาติคล่องแคล่วเธอทานน่าอร่อยมาก กริชชัยนั่งมองอย่างมีความสุข จนเธอถามว่า
“คุณไม่ทานเหรอ...อร่อยนะ เนื้อหมักได้กำลังดี ล่อนแล้วก็นุ่มดี ซอสก็เข้มข้นใช้ได้เลย” อรุณศรีบรรยายน่าอร่อยจริงๆ
“คุณรู้เรื่องอาหารด้วยเหรอ”
“พี่ชายฉันเป็นเชฟน่ะค่ะ เขาชอบทำอาหารให้ฉันทาน แล้วก็ใช้ฉันเป็นหนูทดลองประจำ” พูดแล้วเห็นกริชชัยฟังเพลินยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขก็ถามว่า “ตกลง...จะไม่ทานเหรอคะ”
กริชชัยรู้สึกตัว ตอบเขินๆว่าทานสิ แล้วหันไปหยิบมีดและส้อมเตรียมจะลงมือ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจวางอุปกรณ์เหล่านั้นลง หันไปเช็ดมือ แล้วใช้มือหยิบเหมือนอรุณศรี แม้จะดูเก้งกางแต่ก็น่ารัก
อรุณศรีมองเขายิ้มๆแล้วหัวเราะขำๆเมื่อเห็นซอสเปื้อนที่แก้มเขา พอบอก เขาก็รีบเอามือเช็ดปรากฏว่ายิ่งเช็ดก็ยิ่งเลอะสุดท้ายขอร้องเธอเขินๆว่า “มือผมเปื้อน รบกวนคุณ...เช็ดให้ผมหน่อยได้หรือเปล่า”
เอ่ยปากขอแล้วมองลุ้น อรุณศรีอิดออดนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจเช็ดมือตัวเองกับผ้าก่อนแล้วหยิบกระดาษทิชชูโน้มตัวข้ามโต๊ะไปเช็ดรอยเปื้อนให้เขา
ความใกล้ชิดและการสัมผัสทำให้ต่างใจเต้นแรงอย่างตื่นเต้น กริชชัยแอบมองเธอในระยะใกล้อย่างแสนจะปลื้มใจ
เบญลี่ผ่านมาพร้อมแฟ้มงาน เห็นภาพนั้นถึงกับชะงักกึก อุทานอย่างอัศจรรย์ใจ... “โอ๊ะ...โอ...” แล้วรีบหลบถามตัวเองว่าตนตาฝาดรึเปล่า ค่อยๆโผล่ไปแอบดูอีก เห็นอรุณศรีลงนั่งตามเดิมแล้ว แต่กริชชัยยังเขินไม่หาย...
เบญลี่ขมวดคิ้วคิดหนัก...อย่างอยากรู้อยากเห็นจริง... จริง...
อรุณศรีเช็ดรอยเปื้อนให้เสร็จ กริชชัยขอบคุณเธอเขินๆ เธอยิ้มให้ ตอบอย่างสง่าผ่าเผยว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่ฉันทำให้เพราะรู้ว่าจริงๆแล้วคุณเป็นอะไร ถ้าคุณเป็น ‘ผู้ชายแท้ๆ’ ฉันก็คงไม่กล้าทำ”
กริชชัยแทบจะหุบยิ้ม พยายามจะชี้แจงแต่มัวเอ้อ... อ้า...พูดไม่ออก เสมองไปนอกหน้าต่างอย่างเหนื่อยใจจนแทบจะทานอะไรไม่ลงอีกเลย
ooooooo
วัชระกลับมาถึงหน้าบ้านเนตรนภัส ก็มีโทร.เข้ามือถือ เขาบ่นเซ็งๆว่าจิกจนวินาทีสุดท้าย แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแต่แล้วก็แปลกใจเมื่อไม่ปรากฏชื่อผู้โทร. พึมพำ “ใครวะ...ซ่อนชื่อเสียด้วย หรือเป็นพวกสายข่าว” แล้วเขาก็กดรับ
“ยอมรับสายแล้วเหรอคุณตำรวจ” เสียงสุพรรณิการ์ทักมาหยันๆแล้วลุกเดินกะเผลกๆขึ้นห้องทำงานที่อยู่ชั้นบนของร้านสาดสุราหวานนารีของตัวเอง ในห้องตกแต่งแบบอินเดีย บรรยากาศสบายๆโรแมนติก
วัชระยังจำไม่ได้ถามว่าเธอเป็นใคร สุพรรณิการ์เดินกะเผลกๆเข้ามาในห้องแล้วพูดกวนๆว่าสงสัยจะชนแล้วหนีหลายคนเลยจำไม่ได้ วัชระกำลังกังวลกับเรื่องที่เนตรนภัสสั่งให้มาพบแม่เลยหงุดหงิด บอกว่าตนไม่มีเวลาล้อเล่นด้วย ฝ่ายสุพรรณิการ์เริ่มของขึ้นเสียงแหวมาว่า ตนโทร.มาก็พูดเรื่องจริงจังไม่ใช่โทร.มาเล่นขำๆ
“วัชคุยกับใคร” เนตรนภัสถามเสียงดังเข้าใปในโทรศัพท์ สุพรรณิการ์ถามว่าเสียงใคร วัชระตัดบททันทีเมื่อเห็นเนตรนภัสเดินตรงรี่เข้ามาว่า เอาแค่นี้ก่อน ถ้ามีธุระจริงๆค่อยโทร.มาอีกที วันนี้ตนไม่มีเวลามาเล่นเกม แล้วตัดสายเลย จนสุพรรณิการ์สวนกลับไปไม่ให้วางสายก็ไม่ทัน
เนตรนภัสเดินมาถึงพอดี จิกถามว่าคุยกับใคร เขาบอกว่าใครไม่รู้คงโทร.ผิด ถูกคาดคั้นอีกว่าแล้วทำไมต้องวางสาย
“อ้าววว ก็เขาโทร.ผิดจะให้ผมพูดอะไรกับเขา” วัชระเริ่มเสียงแข็ง พอเนตรนภัสอาปากจะพูดเขารีบพูดขึ้นก่อนว่า “แหนม คุณแม่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับผมไม่ใช่เหรอ ผมก็รีบขับรถมาตามคำสั่งแล้ว ตกลงจะเสียเวลาทะเลาะกันตรงนี้หรือจะปล่อยให้ผมไปคุยธุระสำคัญ”
เนตรนภัสนึกขึ้นได้รีบควงแขนเขาไม่วายบอกว่าคุยกับคุณแม่ก่อนก็ได้แต่คุยจบแล้วเอาโทรศัพท์ให้ตนจะเช็กดูว่าใครโทร.มา วัชระเซ็งจนบอกไม่ถูก โยนโทรศัพท์ไว้ในรถอย่างหงุดหงิด
ส่วนสุพรรณิการ์ถูกตัดสายทิ้งก็หงุดหงิด มองโทรศัพท์พูดอย่างแค้นใจว่า
“ร้อยตำรวจเอกวัชระ ถ้าฉันตามเจอเมื่อไหร่ นายชะตาขาดแน่!!”
ooooooo
วัชระเข้าบ้าน เจอนรีวรรณจึงหยุดคุยกัน นรีวรรณรู้ชะตากรรมของเขาดีเลยชวนทำบุญต่อชะตา เนตรนภัสยังเกาะแขนเขาแจ ฟังทั้งคู่คุยกัน นรีวรรณอยากให้วัชระทำบุญต่อชะตา เนตรนภัสตัดบทว่าคุณแม่รออยู่ให้รีบไปหา ไล่น้องให้หลบไปเสียแล้วลากวัชระเข้าห้องรับแขกปิดประตูใส่หน้าน้องปังใหญ่
เมื่อไปเจอสีรุ้งนั่งรอเซ็งๆอยู่ในห้องรับแขก เนตรนภัสถามนำว่าคุณแม่มีเรื่องจะคุยกับวัชระไม่ใช่หรือ ทั้งวัชระและสีรุ้งต่างมองกันงงๆ เนตรนภัสรีบกำกับบอกแม่ว่าให้ถามเลย สีรุ้งมองหน้าลูกสาวอย่างอ่อนใจก่อนถามวัชระว่า
“คบกันมาตั้งนานแล้ว ไม่คิดจะ...เปลี่ยนใจบ้างหรือ” สีรุ้งเลี่ยงไปไม่กล้าพูดเรื่องแต่งงาน พอถูกเนตรนภัสเรียกปรามก็พูดว่า “แม่จะบอกว่า ถ้าไม่คิดจะเปลี่ยนใจก็ควรจะทำอะไรๆให้มันเป็นเรื่องเป็นราว มั่นคง ไม่ใช่ควงกันไปควงกันมาแบบนี้”
วัชระเริ่มเอะใจเอ่ยขึ้นว่าอย่าบอกนะว่าคุณแม่หมายถึงเรื่องแต่งงาน พูดไม่ทันขาดคำเสียงเนตรนภัสก็แจ๋ขึ้นทันทีว่า
“ทำไมวัช ถ้าคุณแม่หมายถึงเรื่องการแต่งงานแล้วยังไง หรือว่าวัชไม่คิดจะแต่ง” วัชระหน้าเลิ่กลั่ก สีรุ้งเองก็อึกอักงงๆแต่เนตรนภัสของขึ้นแล้ว เธอใส่ยาวเลยว่า “นี่คิดจะคบแหนมเล่นๆงั้นเหรอ แหนมไม่ยอมนะ แหนมเสียเวลากับวัชมาตั้งหลายปีไม่ยอมเสียเวลาเสียโอกาสแล้วยังเสีย...” คำสุดท้ายเธอละไว้ในฐานที่เข้าใจ
สีรุ้งทนไม่ได้บอกลูกให้พอได้แล้ว แต่เนตรนภัสหยุดไม่ได้ เสียงดังใส่แม่ว่าไม่ต้องพูด ตนจะพูดเอง สีรุ้งแทบลมจับกับอารมณ์ของลูกสาว เนตรนภัสหันมาบอกวัชระว่า ที่เรียกมานี่ไม่ใช่การสอบถามหรือเจรจาแต่เป็นการ “แจ้งให้ทราบ” พูดเด็ดขาดว่า
“วัชจะต้องแต่งงานกับแหนมภายในปีนี้” วัชระหน้าเจื่อนติงว่าปีนี้ก็เหลืออีกไม่กี่เดือนเอง เธอสวนทันที “ใช่ และแหนมก็จะไม่รอไปจนถึงปีหน้า วัชจะต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยและงานแต่งงานของเรา จะต้องเริดที่สุด!”
วัชระหน้าซีดบอกว่าตนไม่มีเงิน จะจัดงานเริดๆแบบนั้นได้ยังไง เธอบอกว่าเรื่องนั้นตนจัดการเอง เสียเงินเท่าไรไม่ว่าแต่ต้องไม่เสียหน้าเด็ดขาด
สีรุ้งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ลมตีขึ้นด้วยความเครียด ในขณะที่เนตรนภัสยังจิกตาใส่วัชระจนเขาอึดอัด เครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมาที่รถเสียงสั่งของเนตรนภัสยังก้องอยู่ในหัว เขายกมือจะทุบรถระบายความอัดอั้น แต่พอเห็นรอยบุบจากการทุบของสุพรรณิการ์ เขาก็ค่อยๆวางมือลงเหมือนกลัวมันจะเจ็บ คำรามทั้งฮึ่ยยยย...ทั้งเฮ่อออ...แต่ก็ไม่ทำให้หายเครียดได้...
ooooooo
ที่หน้าบริษัทเอ็ม กรุ๊ป เย็นแล้วทุกคนเตรียมกลับบ้าน กริชชัยมองท้องฟ้าเห็นมืดครึ้มเชื่อว่าฝนต้องตกแน่ มองอรุณศรีกับเบญลี่ที่กำลังเก็บของถามลอยๆ ว่าจะกลับยังไง
เบญลี่ตอบทันทีว่าตนเอารถมาไม่ต้องห่วง เขาพูดเหมือนจะสื่อไปถึงอรุณศรีว่าตนรู้ แล้วถามอรุณศรีตรงๆว่าจะกลับยังไง เธอตอบทันทีอย่างไม่ต้องคิดว่า “เดี๋ยวแฟนมารับ” ทำเอากริชชัยหน้าเจื่อน จุกเหมือนโดนลิ่มตอกอก
เบญลี่มองอรุณศรีขวับแล้วลากออกไปตำหนิว่าทำไมถึงตอบกริชชัยแบบนั้น ไม่กลัวหรือ อรุณศรีบอกว่าตนตอบตามจริงแล้วจะกลัวอะไร เบญลี่ถามว่าไม่รู้อะไรเลยหรือ อรุณศรียิ่งงง ถามว่ารู้อะไร
ต่างฝ่ายต่างไม่พูดตรงๆ แต่พูดเหมือนเข้าใจตรงกันทั้งที่เข้าใจคนละเรื่อง เบญลี่เข้าใจว่ากริชชัยพอใจอรุณศรี แต่อรุณศรีเองกลับคิดว่าเบญลี่หมายถึงรู้ว่ากริชชัยเป็นเกย์
เบญลี่บอกว่าเธอไม่น่าบอกว่ามีแฟนแล้ว บอกไปก็เท่ากับเป็นการตัดโอกาสตัวเอง อรุณศรีคิดว่าเบญลี่กลัวว่ากริชชัยจะมาสนใจแฟนตน เลยบอกว่าจะหาทางไม่ให้ทั้งสองเจอกัน เบญลี่ไพล่คิดไปว่าเธอคงจะเก็บไว้ทั้งสองคน โดยคบกริชชัยในฐานะกิ๊ก ไม่เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่า อรุณศรีเข้าใจว่ากริชชัยเป็นเกย์
ส่วนกริชชัยคอยทีอยู่ว่าฝนจะตกไหมและอรุณศรีจะกลับอย่างไร ยอมรออยู่ไม่ยอมกลับไปก่อน แต่ก็คิดสมเพชตัวเองว่า
“ทั้งมีแฟนแล้ว ทั้งคิดว่าเราเป็นเกย์ ซวยครบสูตรจริงๆ”
ooooooo
อรุณศรีเก็บของบนโต๊ะแล้วส่งข้อความถึงปรานต์ว่า “จะออกไปยืนรอหน้าบริษัท มารับได้เลย” เสร็จแล้วไปยืนรอที่หน้าบริษัท ยืนรออย่างตั้งอกตั้งใจ ฟ้าก็มืดลงทุกทีทั้งเพราะค่ำแล้วและเมฆฝนที่คลุมมาอย่างหนาแน่น
กริชชัยคอยมองลงไปข้างล่าง เห็นอรุณศรียืนรออยู่อย่างอดทน เธอโทรศัพท์ถึงปรานต์ ปรากฏว่าปิดเครื่อง เธอยังเพียรกดแล้วกดอีก จากยืนรอ เป็นเดินรอ นั่งรอ รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีวี่แววที่ปรานต์จะมารับ เธอจึงฝากข้อความว่า “แอ๊วไม่รอแล้วนะเบื่อ!”
พอเธอวางสายเท่านั้น ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก เธอจะวิ่งเข้าไปหลบฝนในตึก ทันใดก็ชะงักเมื่อมีร่มคันใหญ่มากางกันฝนให้ เธอมองขวับเห็นกริชชัยยืนถือร่มกางให้อย่างเท่อยู่ข้างหลัง
“คุณกริช คุณยังไม่กลับเหรอคะ”
“ผมรอคุณ...” เสียงตอบอ่อนโยน นุ่มนวล อบอุ่น
อรุณศรีพึมพำงงๆ ว่ารอตน...รอทำไม กริชชัยบอกว่าจะรอจนกว่า...เขาพูดคำว่า “แฟน” ไม่ออก เลี่ยงเป็นพูดว่า จนกว่าจะมีคนมารับ ถามว่าแล้วนี่เขายังไม่มารับหรือ อรุณศรี บอกว่าเขาติดงานตนกำลังจะกลับเอง กริชชัยโพล่งออกไปอย่างได้โอกาสว่า “เดี๋ยวผมไปส่งเอง”
โพล่งไปแล้วก็ใจเต้นโครมคราม เธอบอกว่าตนกลับแท็กซี่ดีกว่า เขารีบรับรองว่าตนไม่ทำอะไรหรอก ไว้ใจได้
“ฉันรู้หรอกน่า...อย่างฉันไม่ใช่แนวที่คุณชอบ” อรุณศรีพูดยิ้มๆ อย่างสนิทใจขึ้น แต่ทำเอากริชชัยสะอึก หุบยิ้มทันที
ตลอดทางที่เขาขับรถไปส่งเธอ อรุณศรีนั่งอย่างสบายใจไม่เกร็งเหมือนเมื่อก่อน ส่วนกริชชัยก็คอยชำเลืองแอบดูเธอบ่อยๆ อย่างห้ามใจตัวเองไม่ได้
จนมาถึงบ้าน เธอขอบคุณที่มาส่ง เขาตอบรับ “ด้วยความยินดีครับ” อรุณศรียังอดที่จะพูดให้เขาสบายใจไม่ได้ว่า
“ส่วนเรื่องนั้น คุณไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันไม่เอาไปเม้าท์กับคนอื่นแน่นอน คุณเองก็เคลียร์กับคุณธีธัชด้วยนะคะ เขาจะได้รู้ว่าเราสองคน ไม่ได้มีอะไรกัน” พูดแล้วยิ้มๆอย่างมีเลศนัย กริชชัยจะชี้แจงแต่มัวเอ้ออ้าอยู่ เธอก็เอ่ยลา “ฉันไปก่อนนะคะ” พูดแล้วเปิดประตูรถลงไปเลย กริชชัยเรียกตามหลัง แต่เธอปิดประตูไปแล้ว
กริชชัยผิดหวังมากกำมือทุบลงบนพวงมาลัยไปโดนแตรรถเข้าอย่างจัง อรุณศรีชะงักหันมอง สบตากันพอดี กริชชัยเลยยกมือโบกลา เธอโบกตอบแล้วต่างแยกกันไป อรุณศรีพึมพำขำๆ “แปลก”
ooooooo
เมื่อกลับมาถึงบ้าน อรุณศรีเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู พูดอย่างเบื่อหน่ายว่า “ไม่โทร.กลับสักครั้ง
เชื่อเขาเลย!” เธอโยนโทรศัพท์ไว้บนเตียง ทันใดนั้นก็มีโทร.เข้าเป็นของปรานต์นั่นเอง
พอเธอรับสายเขาก็ขอโทษเป็นการใหญ่ บอกว่าติดลูกค้าสำคัญมาก ตนพยายามจะปลีกตัวออกมาโทร.ก็ทำไม่ได้ ขนาดตนบอกว่านัดกับแฟนไว้เขาก็ยังไม่ยอมเลย
ปรานต์อ้างติดลูกค้า ทั้งที่เขาอยู่ในสปาคลับสำเริงสำราญอยู่กับสาวเซ็กซี่อย่างสดชื่น
อรุณศรีฟังปลายสายเงียบกริบ จนปรานต์ถามว่าได้ยินไหม เป็นอะไร เธอบอกว่าได้ยิน และ “เป็นโกรธ!”
ปรานต์ทำเสียงแข็งใส่ทันทีว่าจะมาโกรธตนได้ยังไงในเมื่อตนติดลูกค้า อรุณศรีถามโพล่งออกไปอย่างกดดันอัดอั้นว่าจะติดลูกค้าอะไรขนาดขอตัวมาโทรศัพท์ก็ยังไม่ได้ ปล่อยให้ตนรออยู่ถึงสองสามชั่วโมง ถ้ามารับไม่ได้ก็ไม่ต้องอาสา ตนกลับเองได้ ไม่ต้องเสียเวลาไปรอให้เสียอารมณ์ ยํ้าว่า
“และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก มันเป็นแบบนี้มาตลอด มันน่าเบื่อ!!”
ทั้งสองโต้เถียงกันอย่างรุนแรง จนปรานต์บอกให้พอได้แล้ว รอให้เธอมีสติกว่านี้ค่อยคุยกันพูดแล้ววางสายเลย ทำให้อรุณศรียิ่งหงุดหงิด รออยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่มีสายจากปรานต์โทร.เข้ามา เธอคิดหนัก ไม่อยากเชื่อว่าคนแบบนี้เป็นแฟนตนจริงๆ
ooooooo
สามหนุ่มกับหลายสาวที่ต่างก็มีความรักและมีปัญหากับความรัก ต่างคิดไปตามประสบการณ์และความรู้สึกของตัวเองเกี่ยวกับคนรัก และความรัก
กริชชัยคิดถึงคำสอนของพระพุทธองค์เกี่ยวกับความรัก ที่สุดท้ายคือ “ผู้ใดมีสิ่งที่รัก...ผู้นั้นก็มีทุกข์”
วัชระกำลังเป็นทุกข์กับคำสั่งให้แต่งงานและจัดอย่างเริดหรูของเนตรนภัส กำลังมีทุกข์กับความรักและคนที่เขารักอย่างหนัก
ธีธัชยังคุมแค้น “นังเด็กบ้า” ที่ตีหัวตนแตกเลือดโกรก ทั้งยังจะเอาเครื่องมือสัตวแพทย์มาเย็บแผลที่หัวให้ตนอีก
ส่วนอรุณศรีกำลังคิดหนักกับความรักที่น่าเบื่อหน่ายของปรานต์ ที่มีแต่คำหวาน แต่การกระทำมีแต่ความเห็นแก่ตัว
สุพรรณิการ์หงุดหงิดที่ติดต่อวัชระไม่ได้ ไม่เพียงเพราะเจ็บตัว เจ็บใจ แต่ยังมีความรู้สึกที่ตัวเองก็ไม่รู้แอบแฝงอยู่ด้วย
อีกหนึ่งสัตวแพทย์สาวหน้าเด็ก ยังติดใจสงสัยว่า หญิงสาวในรูปที่อยู่บนขาตั้งในห้องกริชชัยนั้น จะเป็นคนที่กริชชัยหลงรักอยู่ ใช่หรือไม่?
แต่ไม่ว่าความสัมพันธ์จะพัวพันโยงใยอย่างไร ทุกชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ความสัมพันธ์ก็ยังดำเนินต่อไปตามวิถีของแต่ละคน...
ooooooo
ที่บ้านอรุณศรี เช้านี้เธอตื่นขึ้นมาก็ได้กลิ่นหอมของอาหารโชยมาอย่างหอมหวนชวนทาน เดินไปดูในครัวด้วยความสงสัย เห็นโอบบุญพี่ชายคนเดียวที่เป็นเชฟกำลังทำอาหารอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ พอเห็นหน้าน้องสาวก็ให้ช่วยชิมอาหารสูตรใหม่ที่เจ้านายอยากให้ทำเป็นอาหารเช้าที่ทำเร็วทานง่ายและกำไรดี
อรุณศรีปฏิเสธเสียงง่วงๆว่าไม่เอา วันนี้ไม่มีอารมณ์เพราะ “ปวดจิต”
โอบบุญหันมองหน้าน้องสาวอย่างค้นหาถามว่าทะเลาะกับปรานต์หรือว่าเจ้าของรถสปอร์ตคันเมื่อคืน? ทำเอาอรุณศรีอึ้งประสาทตื่นเต็มที่ ถามว่ารู้ได้ยังไงเพราะเมื่อคืนตนกลับมาพี่ยังไม่กลับไม่ใช่หรือ
จึงรู้จากพี่ชายว่า ไปรู้มาจากป้าขายน้ำเต้าหู้หน้าปากซอยที่ตนไปซื้อไข่แล้วป้าก็เรียกไปรายงานเป็นชุดเลยทีเดียว บอกแล้วถามอำๆว่า “สรุปเป็นความจริงใช่ไหมเนี่ย” อรุณศรีตอบไม่เต็มเสียงว่า...จริง
เมื่อพากันมานั่งที่โต๊ะอาหาร โอบบุญถามน้องแซวๆว่า “แล้ววันนี้เขาจะขับรถสปอร์ตมารับหรือเปล่า?”
“ใครขับรถสปอร์ตเหรอครับ” ปรานต์ถามแทรกขึ้นพร้อมกับเดินยิ้มแฉ่งเข้ามา
โอบบุญกับอรุณศรีที่กำลังคุยกันประสาพี่น้องอย่างเปิดใจ ต่างเซ็งไปถนัดกับการมาของปรานต์
ooooooo
เมื่อปรานต์เข้ามาร่วมโต๊ะ ก็ทำทีถามโอบบุญว่าเปลี่ยนรถใหม่หรือ ให้เอาไปติดเครื่องเสียงที่ร้านตนก็ได้ รุ่นใหม่เพิ่งมาจากญี่ปุ่นเสียงใสกิ๊ง...
โอบบุญตอบเนือยๆว่าตนยังขับรถมือสองจากญี่ปุ่น ปรานต์ซักทันทีว่าแล้วใครขับรถสปอร์ต
“ใครก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นผู้ชาย! แล้วก็ขับมาส่งแอ๊วที่บ้านเมื่อคืน” โอบบุญเล่าอย่างสะใจ ปรานต์ฟังแล้วหน้าเหวอ ออกอาการหึงทันตาเห็น พุ่งเข้าจับมืออรุณศรีเขย่าถามอย่างร้อนใจว่าจริงหรือ มันเป็นใคร โอบบุญหาทางปลีกตัวทำทีว่ามีงานต้องรีบไปแต่เช้า แอบส่งสัญญาณน้องสาว
ทำนองว่าใส่ให้เต็มเลยนะ
ปรานต์หลงกล คาดคั้นกับอรุณศรี ถามว่ามันแอบมาจีบเธอตอนตนไม่อยู่ใช่ไหม มันเป็นใคร อรุณศรีทำหน้านิ่งตอบว่า“ไม่บอก” ทำให้ปรานต์ยิ่งระแวง คาดคั้นให้บอกว่ามันเป็นใครแล้วมาส่งทำไม อรุณศรีมองหน้าเขาถามว่าหึงหรือ ปรานต์ตอบเสียงเครียดว่าใช่ เธอเลยได้ที ปรามว่า
“ดี! หึงมากๆ นะ แล้วก็มาคอยเฝ้าให้ดี ไม่ใช่ปล่อยให้นั่งรอ ยืนรออยู่หน้าบริษัทตั้งสองสามชั่วโมง เป็นที่สมเพชของคนที่เขาเดินผ่านไปมา...รู้ซะบ้างว่า แอ๊วมีค่าขนาดไหน อย่ามาทำทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้!”
พูดแล้วอรุณศรีลุกเดินออกไปเลย ปรานต์ตะโกนไล่หลังไปอย่างไม่พอใจให้บอกก่อนว่ามันเป็นใคร แต่เธอไม่สนใจ ปรานต์ทนไม่ได้รีบเดินตามไปด้วยความร้อนใจกลัวตัวเองจะเสียเธอให้คนอื่น
ooooooo
ที่บ้านสวนของลำเภา เจ้าตัวยังติดใจสงสัยว่าผู้หญิงในรูปนั้นเป็นใคร พอเจอตัวกริชชัยก็ถามตรงๆ ได้รับคำตอบว่าเธอชื่ออรุณศรี เป็นพนักงานในบริษัท เลยถามตรงๆ อีกว่า ชอบเขามากขนาดวาดรูปเก็บไว้แบบนี้แล้วเคยบอกเขาหรือเปล่า
กริชชัยส่ายหน้า บอกว่าไม่เคยเพราะเธอมีแฟนแล้ว
“มีก็มี ไม่เห็นเกี่ยวนี่ คุณกริชชอบเขา ไม่ได้ชอบแฟนเขาสักหน่อย แล้วบางทีแฟนเขาอาจจะเป็นคนไม่ดีก็ได้ ถ้าเขารู้ว่าคุณกริชชอบ เขาอาจจะเปลี่ยนใจ” ลำเภาพูดอย่างคนมีหัวใจอิสระไร้กรอบในความคิด
“แฟนเขาจะดีหรือไม่ดีมันก็เกี่ยว...ถ้าเขารักของเขา พี่ก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง อยู่แบบไม่รู้ยังดีกว่ารู้แล้วต้องเกลียดกัน หรือมองหน้ากันไม่ติด” กริชชัยพูดปลงๆ แต่เศร้า
“บนโลกมีผู้หญิงให้เลือกตั้งเยอะแยะ ทำไม๊...ทำไมคุณกริชจะต้องไปชอบคนที่เขาไม่ชอบด้วย เภาไม่เข้าใจจริงๆ” ลำเภาพูดอย่างคนไม่เคยมีความรักและรู้สึกว่าพี่ชายตนไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
“ถ้าเภาได้เจอเขาสักครั้ง ครั้งเดียวเภาก็รู้เอง...”
กริชชัยพูดถึงอรุณศรีด้วยความรู้สึกประทับใจ แต่ลำเภาฟังแล้วขมวดคิ้วจนหัวคิ้วนูนอุทานทึ่งว่า ขนาดนั้นเลยเหรอ ทำให้ยิ่งอยากเห็นตัวจริงมากขึ้น
ooooooo
ปรานต์ขับรถไล่ตามอรุณศรีไปจนถึง
ท่าทีดุๆ จริงจังของเธอ ทำให้ปรานต์จำต้องปล่อย อรุณศรีมองเขาด้วยความไม่พอใจมาก ทั้งคู่ยืนเผชิญหน้ากัน
ที่หน้าบริษัท กริชชัยขับรถเข้ามาเห็นภาพนั้นพอดี เขานั่งดูอยู่ในรถด้วยความสนใจอย่างมาก
ปรานต์ดักคออรุณศรีว่าเรื่องหนุ่มขับรถสปอร์ตเป็นเพียงการแกล้งพูดให้ตนหึงแต่ไม่มีตัวตนจริงๆ ใช่ไหม เมื่อเธอไม่ตอบปรานต์ทำเป็นคุยโวว่าถึงมีก็ไม่กล้ามาจีบเธอหรอก เพราะรู้ว่าเธอเป็นแฟนตน พูดแล้วยื่นหน้าเข้าหอมแก้มเธออย่างเร็ว แรงจนเธอตกใจยืนหน้าชา แล้วปรานต์ก็พูดอย่างผยองว่า
“ถ้ามีใครกล้ามาจีบก็ให้มันรูไป!” พูดแล้วก็เดินกวนๆ กลับไปขึ้นรถตัวเอง อรุณศรีมองตามไปอย่างไม่พอใจ แต่คนที่ถึงกับเจ็บจี๊ดถึงหัวใจคือกริชชัยที่นั่งดูอยู่ในรถ...
ooooooo
เมื่อไปเจอกันในสำนักงาน กริชชัยถามว่า
ดีกันแล้วหรือ อรุณศรีทำหน้างงๆ เขาเลยพูดชัดๆว่า
“ก็...แฟนคุณ เมื่อวานยังเห็นอารมณ์ไม่ดีที่เขามารับช้า เสียดายเมื่อกี้เห็นหน้าไม่ชัด”
อรุณศรีฉุนกึกถามว่าแอบดูตนอีกแล้วหรือ กริชชัยบอกว่าบังเอิญเห็น แล้วพูดให้รู้ว่าเห็นอะไรบ้างแบบกึ่งตำหนิว่า “รู้ว่ารักกัน แต่จะทำอะไรก็อย่าประเจิดประเจ้อนัก โดยเฉพาะในที่สาธารณะ คนอื่นเขาจะมองไม่ดี”
อรุณศรีรู้สึกว่าโดนด่ามากกว่าเตือนด้วยความหวังดี เมื่อกริชชัยเดินหน้าขรึมๆ ไปแล้ว เธอนึกถามตัวเองงงๆว่า มาด่าตนทำไม?
แต่พอพักเที่ยงออกไปทานอาหารกลางวันกับสุพรรณิการ์และเล่าให้เพื่อนรักฟัง กลับถูกเพื่อนบอกว่า สมควรแล้วที่โดนด่า อรุณศรีร้อง อ้าววววว งงที่ถูกเพื่อนสมน้ำหน้า สุพรรณิการ์เลยขยายความว่า
“ก็จริงนี่ ไอ้ปรานต์มันหมาหวงก้าง มันทำเพราะกั๊กแก โดนเจ้านายด่าก็สมควร” แต่อรุณศรีบอกว่ารู้สึกเหมือนเขาคอยจับผิดตนมากกว่าเพราะตามจิกตนมาตลอด แล้วถามว่าอย่างปรานต์นี่จะโดนใจชาวสีรุ้งไหม สุพรรณิการ์ถามว่าหมายความว่าไง
อรุณศรีบอกว่าตนกลัวว่าเจ้านายจะมาปิ๊งปรานต์เข้า สุพรรณิการ์โวยเบาๆ ว่าอย่างปรานต์นี่ถ้าใครอยากได้ก็ใส่พานให้เขาไปเลย จะหวงไว้ทำไม
ระหว่างที่ทานอาหารและคุยกันนั้น สุพรรณิการ์กดโทรศัพท์โทร.ออกตลอดเวลาอย่างหงุดหงิด พอเพื่อนถามว่าโทร.ถึงใครก็บอกด้วยน้ำเสียงชิงชังว่า
“ฉันโทร.หานายหนวดที่ขับรถชนฉันน่ะซิ โทร.มาตั้งแต่เช้าแล้วปิดเครื่องหนีตลอดเลย” อรุณศรีถามว่าเรื่องรถชนยังไม่จบอีกหรือ เพื่อนเลยระบายความแค้นให้ฟังว่า “ตราบใดที่นายหน้าหนวดยังไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่ทำกับฉันไว้ มันไม่มีทางจบ ผู้ชายไร้ความรับผิดชอบ ถนัดแต่ “หนี” ชนแล้วหนีปิดเครื่องหนี คิดว่าหนีฉันได้ก็ลองดู!!”
ว่าแล้วก็กดโทร.ออกอีก เสียงตื๊ดๆๆๆ อีกตามเคย
ooooooo
วัชระอยู่ในสภาพขวัญไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เช้านี้มายืนออกกำลังตามปกติ หลังจากกระโดดเชือกแล้วก็ชกกระสอบทราย เขาตั้งหน้าตั้งตาชกอย่างหนักหน่วง จนแววผู้เป็นแม่ผิดสังเกต ถามอย่างเดาใจลูกว่ากลุ้มเรื่องแต่งงานหรือ
“แม่รู้ได้ยังไง” เขาถามงงๆ แววจึงเล่าว่า เนตรนภัสโทร.มาบอกหมดแล้ว รวมทั้งเรื่องสินสอดทองหมั้นด้วย วัชระถามหน้าเครียดว่าเขาต้องการเท่าไหร่
แววเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เป็นปกติว่าเงิน 10 ล้าน ทอง 50 บาท เครื่องเพชรชุดใหญ่และโฉนดที่ดิน 1 ไร่บนถนนเอกมัยสำหรับสร้างเรืองหอ
“บ้าแล้ว! ผมจะไปหาที่ไหนมาให้!” วัชระสบถ แล้วก็ตกใจ แปลกใจ เมื่อแววผู้เป็นแม่บอกว่าทั้งหมดนี้ทาง
เนตรนภัสบอกว่าไม่ต้องหาเพราะเธอได้ให้แม่เตรียมไว้แล้ว
วัชระถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม แววมองอย่างเป็นห่วง เตือนลูกว่า รู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่แรก แต่ลูกก็เลือกที่จะคบ ย้ำกับลูกอย่างให้กำลังใจว่า “วันนี้ ลูกก็ต้องยอมรับในความเป็นเขาให้ได้นะลูก”
“ผมรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นมากขนาดนี้ ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ผมรู้จักแหนมจริงๆ หรือเปล่า”
วัชระพูดกับแม่อย่างเหนื่อยหน่าย กลัดกลุ้ม พลันก็สะดุ้งเฮือก เมื่อเสียงแตรรถดังถี่ๆ ที่หน้าบ้าน วัชระผวาคิดว่าเป็นเนตรนภัสแน่ๆ เขารีบหลบไปทางห้องเก็บของทันที บอกแม่อย่างร้อนรนว่า “ถ้าแหนมมา บอกว่าผมไม่อยู่นะแม่” ว่าแล้ววิ่งปรู๊ดเข้าไปซุกอยู่ในห้องเก็บของเงียบกริบ
ปรากฏว่า คนที่มากลายเป็นธีธัช แววเลยต้องบอกว่าวัชระอยู่ในบ้าน ให้รอประเดี๋ยว แล้วเข้าไปร้องบอกวัชระว่าธีธัชมา
วัชระโล่งใจ ออกมาพบธีธัชในสภาพหัวหูมีหยากไย่พันเกาะไปทั่ว ถูกธีธัชต่อว่าว่าทำไมปิดมือถือ ตนโทร.ตั้งแต่เช้าไม่ติดเลย วัชระเดินคุยไปกับธีธัชห่างจากแววไปทุกที ตัดบทเพื่อนว่ามานี่มีอะไรหรือ
แววยืนดูลูกอยู่ พึมพำอย่างหนักใจว่า “เฮ้อ...จะรอดไหมเนี่ย ลูกฉัน...”
ooooooo
ธีธัชมาเจรจาให้วัชระแต่งชุดตำรวจไปขู่ลำเภา ทำทีว่าตนแจ้งความตำรวจที่ถูกเธอตีหัวแตก แล้วทั้งขอร้องทั้งบังคับให้วัชระทำตามแผนการของตนพาไปที่บ้านสวนของลำเภาอย่างลำพองใจ
“ฉันไม่ยอมให้ยัยหนูตะเภาได้ใจ ตีหัวฉันแล้วก็ยังลอยนวล ฉันลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะแจ้งความก็ต้องทำตามที่พูด” วัชระคิดไม่ตกที่ต้องมาทำเรื่องแบบนี้ ธีธัชขอร้องว่า “เอาน่า ถือว่าช่วยเพื่อน เอางี้...แกไม่ต้องพูดอะไรมาก เดี๋ยวฉันเป็นคนจัดการเอง งานนี้มีเฮ!” ธีธัชสะใจตั้งแต่คิดแล้ว
ธีธัชกดออดลั่น ครู่เดียว ลำเภาที่กำลังเป่าขนให้น้องหมาทั้งสามก็เดินออกมาเขม้นมองผ่านแว่นหนาเตอะ เห็นธีธัชก็จำได้ แต่พอมองไปอีกเห็นตำรวจมาด้วย ก็เริ่มสงสัย
พอเจอหน้ากัน ธีธัชก็เยาะเย้ยยียวนว่าลำเภากลัวจนไม่กล้ามาเปิดประตู ทั้งคู่โต้เถียงกันเอาเป็นเอาตาย จนวัชระตัดบทให้เข้าเรื่องเสียที ลำเภาถามวัชระว่าธีธัชแจ้งความว่ายังไง
วัชระบอกว่า แจ้งความว่าเธอทำร้ายร่างกายเขา ธีธัชเสริมทันทีว่าเล่นเสียหัวแตกเลือดอาบแบบนี้มีหวังติดคุก
หัวโตแน่ ลำเภามองหน้าธีธัชอย่างหมั่นไส้เต็มที เลยจะเอาเรื่องธีธัชฐานเข้ามาในบ้านตนโดยไม่ได้รับอนุญาต ถามวัชระว่า จะให้ตนไปแจ้งความที่โรงพักไหม ไม่มีปัญหาเพราะตนมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้หมดแล้ว
ลำเภาพูดเอ๊า...พูดเอา ทำเอาธีธัชกับวัชระอ้าปากค้างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ถามกันด้วยสายตาแบบว่าจะเอาไงดี ลำเภาไม่สนใจพูดฉอดๆๆต่ออีกว่า
“แต่ถ้าจะให้ฉันรับผิดชอบก็ได้ โทษฐานทำร้ายร่างกายอย่างมากก็ไม่กี่ร้อย แต่ก่อนจ่ายฉันขอเฉาะหัวให้เลือดอาบอีกสักทีแล้วกัน เพื่อความสะใจ” ว่าแล้วก็หันไปคว้าท่อนเหล็กที่วางอยู่ริมรั้วหน้าบ้านเงื้อสุดแขน
สองหนุ่มที่ทำกร่างแต่แรกร้องเสียงหลง ลำเภาไม่ลังเลบอกว่าขอฟาดอีกสักครั้ง ครั้งนี้จ่ายเบิ้ลให้อีกเท่าตัว!
ธีธัชร้องลั่น วัชระร้องเตือน “ไอ้ธีระวัง!” เลยทำให้ลำเภารู้ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนกัน พอนึกอีกที จำได้ว่าสองคนนี้คือคนในรูปถ่ายสามคนในห้องกริชชัย เลยรู้อีกว่า ทั้งสองคนเป็นเพื่อนของกริชชัย เชื่อว่ารวมหัวกันแกล้งตนแน่ๆ
ขณะสองหนุ่มกำลังตกใจไม่ทันแก้ตัว ลำเภาก็ร้องเรียกสมุนทั้งสามแล้วสั่งลุย สามหมากรูกันเข้าไปหาสองหนุ่มเห่าขู่ลั่นไปหมด สองหนุ่มตกใจวิ่งอ้าวไปขึ้นรถขับหนีตายออกไปแทบไม่ทัน
ooooooo
ตกเย็น เมื่อกริชชัยกลับมา ลำเภาเอาเรื่องทันที กริชชัยบอกว่าตนไม่รู้เรื่องเลย สองคนนั้นทะลึ่งทำกันเองทั้งนั้น ลำเภายื่นคำขาดว่า เมื่อเขาไม่รู้เรื่อง ก็ให้ไปบอกสองคนนั้นมาขอโทษตนเสียดีๆโดยเร็วที่สุด แต่ถ้าไม่ยอมมาขอโทษ ตนจะฟ้องคุณน้าพวงแขว่าเขาคบเพื่อนไม่ดี แล้วจะให้คุณน้าบังคับให้เขาขายคอนโดฯ กลับไปอยู่บ้าน พูดอย่างสะใจว่า
“เภากับแม่จะไปอยู่ด้วย แล้วอย่าหวังเลยว่าจะได้ไปอยู่คอนโดฯใหม่ด้วยกันสามคน” ลำเภาพูดๆๆแล้วย้ำว่า “บอกสองคนนั้นด้วยว่าเภาไม่ชอบรอ!” พูดแล้วหันเดินเข้าห้องไปเลย
กริชชัยยืนมึน ครู่หนึ่งก็หยิบมือถือมาส่งข้อความหาวัชระกับธีธัชเซ็งๆ
เมื่อธีธัชขับรถมาส่งวัชระ พอถึงหน้าบ้านก็ได้รับข้อความบีบีจากกริชชัย ธีธัชเป็นคนอ่านแล้วบอกวัชระว่า
“ไอ้กริชให้เราสองคนไปเจอกันที่คอนโดฯคืนนี้ บอกว่ามีเรื่องต้องเคลียร์”
“โดนด่าชัวร์!” วัชระฟันธงแล้วส่ายหัวบ่น “ฉันไม่น่าบ้าจี้ไปกับแกเล้ย...ถ้าคืนนี้ไอ้กริชมันด่าเรื่องนี้ แกก็บอกมันด้วยแล้วกันว่า ฉันไม่เกี่ยว” พูดแล้ววัชระลงจากรถเข้าบ้านไปเลย
“ยัยเด็กขี้ฟ้อง! เจอคราวหน้าจะแกล้งยิ่งกว่านี้อีก คอยดูนะยัยหนูตะเภา” ธีธัชคำรามด้วยความแค้น
ooooooo
ที่บริษัทเอ็ม กรุ๊ป ขณะลำเภาเดินอยู่ที่หน้าห้องทำงานของกริชชัย ที่อีกมุมหนึ่ง อรุณศรีกำลังคุยโทรศัพท์คุยไปเดินไป
“ฝ้าย...ยังอยู่แถวออฟฟิศฉันหรือเปล่า แวะมารับหน่อยนะคืนนี้จะไปนอนด้วย...จ้ะแล้วเจอกัน”
วางสายแล้วอรุณศรีก็เดินเลี้ยวออกมาสวนกับลำเภาที่เดินมาพอดี ต่างชะงักมองหน้า ยิ้มให้กันตามมารยาทแล้ว สวนไป
ลำเภาชะงักกึก รู้สึกคุ้นหน้าอรุณศรี คิดทบทวนที่กริชชัยบอกว่าอรุณศรีทำงานที่บริษัท ก็สะดุดใจ หันกลับเรียกไว้ พออรุณศรีหันมา ลำเภาทำทีถามว่าห้องน้ำไปทางไหน อรุณศรีชี้ทางให้อย่างมีน้ำใจ ลำเภาขอบคุณ แต่พออรุณศรีจะไป ก็เรียกไว้อีกถามว่าแถวนี้มีร้านกาแฟร้านขนมหรือเปล่า
อรุณศรีตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า มี ออกไปหน้าบริษัทเลี้ยวขวาไปนิดเดียวก็เจอแล้ว ลำเภาถามอีกว่า แล้วร้านอาหารอร่อยๆ มีหรือเปล่า
อรุณศรีบอกว่ามีแต่ไม่รู้จะถูกปากหรือเปล่า แล้วแนะนำที่ตั้งร้านให้อย่างละเอียด คิดว่าคงไม่มีคำถามอีก แต่ลำเภาก็มีเรื่องถามอีกจนได้ว่า แล้วไปรษณีย์ล่ะ แถวนี้มีหรือเปล่า อรุณศรียิ้มขำๆกับความช่างถามของเธอ แล้วบอกอย่างละเอียดตามเคย
“แล้วร้านตัดขนหมากับคลินิกรักษาสัตว์ มีหรือเปล่าคะ” ลำเภาถามแตกลายไปเรื่อย
“มีค่ะ ข้ามถนนไปอีกฝั่งไงนะคะ อยู่ติดกันเลยค่ะ” บอกแล้วยืนรีรอว่าจะถามอะไรอีกไหม
“ขอบคุณมากนะคะ ที่ตอบคำถามทุกอย่างโดยไม่หงุดหงิด” ลำเภายิ้มแจ่มใส จริงใจ
“ฉันเข้าใจค่ะ ตอนแรกที่มาทำงานใหม่ๆก็ต้องถามคนอื่นแบบนี้เหมือนกัน”
“ฉันไม่ได้ทำงานที่นี่หรอกค่ะ ฉันแวะมาหาพี่ชายน่ะค่ะคุณกริชชัย พงษ์โภคิน เป็นพี่ชายฉันเอง”
คราวนี้ อรุณศรีสะดุดไปนิดหนึ่ง จนลำเภาแนะนำตัวเองว่า “ฉันชื่อลำเภา ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณอรุณศรี”
“เอ่อ...เออะ...” อรุณศรีอึ้ง หน้าเหวอไปครู่หนึ่ง แล้วถามตัวเองมึนๆว่า “รู้จักชื่อเราได้ไง????”
ส่วนลำเภา พอแยกจากอรุณศรีแล้ว ก็กดข้อความถึงกริชชัยอย่างอารมณ์ดี กริชชัยยังอยู่ในห้อง รับข้อความอ่าน...
“เภาเจอคุณอรุณศรีแล้วนะ เภาเข้าใจแล้วว่า ทำไมคุณกริชถึงชอบเธอ”
กริชชัยอ่านแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อภาพที่ปรานต์หอมแก้มอรุณศรีกระแทกเข้ามาในความคิด เขาหุบยิ้มทันที ตามด้วยถอนหายใจเฮือกใหญ่...ยาว...แล้ว...ก็...เซ็ง...
ooooooo
No comments:
Post a Comment