ตอนที่ 5
มัทนากลับจากดูละครการกุศล ทราบเรื่องนายสินจากบิดาก็ตกอกตกใจและรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านอย่างกระวนกระวาย กระทั่งคุณหญิงมณีกลับมาบอกว่านายสิน ยังไม่รู้สึกตัว หมอให้ไปเยี่ยมใหม่พรุ่งนี้ มัทนาหน้าสลดสงสารบุปผาที่เอาแต่ร้องไห้ เข้ามาจับมือให้กำลังใจเธอก่อนที่คุณหญิงจะให้ทุกคนแยกย้ายกันไปนอน
เมื่อพ้นสายตาทุกคนมาแล้ว บุปผาที่หน้าเศร้าเสียใจก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวแววตาดุดันน่ากลัว คิดหาทางกำจัดนายสินก่อนจะฟื้นขึ้นมาเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับตัวเธอ
บุปผาออกจากบ้านแต่เช้ามืด มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลเพื่อฆ่าปิดปากนายสินด้วยการใช้หมอนกดทับใบหน้าเพื่อให้เขาขาดอากาศหายใจ แต่ไม่สำเร็จเพราะไอศูรย์เข้ามากะทันหัน บุปผาหัวไวเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว ด้วยการทำทีเป็นซ้อนหมอนหนุนศีรษะให้นายสิน หมอหนุ่มไม่เอะใจสงสัย ทักหญิงสาวด้วยสีหน้าชื่นชม
“มาเยี่ยมนายสินแต่เช้าเลยนะบุปผา”
“ค่ะ พอดีบุปผาเห็นพี่สินนอนท่าทางไม่ค่อยสบาย บุปผาก็เลยจะเอาหมอนซ้อนให้พี่สินอีกใบ พี่สินชอบนอนหมอนสูงๆน่ะค่ะคุณหมอ”
“นายสินโชคดีจริงที่มีน้องสาวอย่างเธอ...เดี๋ยวบุปผาตามฉันไปที่ห้องทำงานหน่อยสิ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
บุปผายิ้มรับและรอให้ไอศูรย์เดินนำออกไป ก่อน... แล้วก้มลงกระซิบข้างหูนายสินที่รับรู้ทุกอย่างแต่พูดไม่ได้
“อย่าได้คิดจะเปิดปากพูดเรื่องฉันเชียวนะพี่สิน ไม่อย่างนั้นคราวหน้าพี่สินคงจะไม่โชคดีอย่างนี้อีก”
สินแววตาหวาดกลัว มองตามหลังบุปผาไปอย่างไม่คาดคิดว่าเธอจะร้ายกาจถึงเพียงนี้...เมื่อตามไปคุยกับหมอไอศูรย์ ไม่นึกว่าจะได้ยินข่าวน่ายินดี แต่บุปผาต้องเก็บซ่อนอาการไว้ แล้วแสร้งตกใจสุดขีด
“อะไรนะคะ พี่สินเป็นอัมพาต”
“ผลจากการหกล้มทำให้นายสินกระดูกต้นคอร้าว จึงมีอาการเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไป...จะเดินไม่ได้”
“แล้วพูดล่ะคะ พี่สินพูดได้ไหมคะ”
ไอศูรย์ส่ายหน้า บุปผาถึงกับร้องไห้โฮออกมา รำพึงรำพันอย่างน่าสงสาร “โธ่...เวรกรรมอะไรของพี่สินนะ ทำไมถึงได้โชคร้ายอย่างนี้”
“ใจเย็นๆก่อนนะบุปผา นายสินอายุยังไม่มากหากโชคดีกระดูกที่ร้าวอาจสมานตัวเองได้ นายสินก็มีโอกาสกลับมาพูดหรือเคลื่อนไหวได้อีก แม้จะมีโอกาสไม่มากนัก แต่ฉันก็ไม่อยากให้เธอสิ้นหวังนะบุปผา”
บุปผาได้ทีคุกเข่าเข้ามากราบที่ตักไอศูรย์ “คุณหมอต้องช่วยพี่สินให้กลับมาเดินได้พูดได้อีกครั้งนะคะ บุปผาไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว ถ้าไม่มีพี่สินชีวิตบุปผาก็ไม่เหลือใครแล้ว คุณหมอต้องช่วยพี่สินนะคะ”
“นังบุปผา!” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจนทั้งคู่สะดุ้ง
สร้อยนั่นเอง! เธอมาพร้อมคุณหญิงมณีและเห็นภาพนั้นเต็มตา แต่มัทนาเดินรั้งท้ายไม่เห็นอะไร...สร้อยกับคุณหญิงไม่พอใจบุปผาที่ใกล้ชิดไอศูรย์เกินควร ซึ่งสร้อยรู้ทันบุปผาทำเพื่ออะไร จึงลากตัวออกมาด่าและเน้นย้ำว่า
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ ฉันจะบอกให้นะ ความพยายาม แกไม่เป็นผลหรอก เพราะคุณหมอไอศูรย์กำลังจะหมั้นกับคุณหนูอยู่เร็วๆนี้แล้ว รู้ไว้ด้วย”
บุปผาตีหน้าซื่อไม่ตอบโต้ สร้อยหมั่นไส้ผลักเธอเซแล้วเดินจากไปอย่างหัวเสีย...บุปผามองตามตาขวาง พึมพำกับตัวเองอย่างหมายมาด
“ก็ให้มันรู้ไปสิว่าจะได้หมั้นกัน!”
ooooooo
คุณหญิงมณีกับมัทนาเวทนาสงสารนายสินที่อยู่ดีๆก็กลายเป็นคนพิการเดินและพูดไม่ได้ สองแม่ลูกฝากฝังหมอไอศูรย์รักษานายสินต่อไป เพราะเขาเป็นคนเก่าแก่ของบ้าน
สินนอนลืมตาโพลงมองทุกคน ส่งเสียงอืออาเหมือนจะบอกอะไรแต่ก็พูดออกมาไม่ได้ คุณหญิงมณีเวทนาจนน้ำตาซึม ขยับเข้าไปพูดใกล้ๆหูนายสิน
“เอาเถอะนายสิน ฉันรับรองว่าฉันจะไม่ทอดทิ้งแก จะเลี้ยงดูแกกับแม่บุปผาน้องสาวของแกต่อไป”
ไอศูรย์กับมัทนายืนห่างออกมา ท่าทางคุณหมอยังงอนๆเรื่องที่เธอไปดูละครกับเพชรเมื่อคืน ซึ่งมัทนามองออกจึงเป็นฝ่ายชวนเขาพูดคุยและหาจังหวะขอโทษ
“พี่ต้นขา...เรื่องเมื่อวานพี่ต้นอย่าโกรธน้องมัทนะคะ ที่น้องมัทไปดูละครการกุศลกับพี่เพชร ก็เพราะคุณพ่อบอกให้ไปน่ะค่ะ”
“จริงเหรอ”
“น้องมัทไม่ได้อยากไปหรอกค่ะ แต่ไม่กล้าขัดคุณพ่อ” ฟังแล้วไอศูรย์ค่อยยิ้มออก มัทนาเลยสีหน้าดีขึ้นตามไปด้วย “พี่ต้นหายโกรธน้องมัทแล้วใช่ไหมคะ”
“ก็ถ้าน้องมัทไปเพราะคุณลุงบอกให้ไป พี่ก็ไม่โกรธ”
ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กัน ความสัมพันธ์กลับมาคงเดิม บุปผากลับมาเห็นภาพนั้นก็หน้าบึ้งตึง เดินบ่นไปอีกทางอย่างหัวเสีย
“ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ เมื่อวานคุณหมอกับนังคุณหนูเพิ่งจะผิดใจกันอยู่หยกๆ วันนี้กลับมาดีกันได้ยังไงนี่...ยังดีนะที่ไอ้สินมันเป็นอัมพาตพูดไม่ได้ไปแล้ว ก็หมดไปเรื่องนึง แต่ถ้ามันตายๆไปเสียเลย ชีวิตฉันก็คงจะง่ายกว่านี้”
บุปผากระฟัดกระเฟียดเดินผ่านห้องอิ่ม...อิ่มเหลือบเห็นรีบวิ่งเข้าหาด้วยความดีใจ แต่บุปผากำลังอารมณ์เสียเลยผลักอย่างแรงจนอิ่มล้มหัวฟาดพื้นแน่นิ่ง แล้ววิ่งหนีไปด้วยความตกใจ โดยไม่สนใจจะช่วยเหลือดูอาการอิ่มแต่อย่างใด...
ไอศูรย์ขับรถไปส่งมัทนาที่มหาวิทยาลัยและบอกให้ตั้งใจเรียน ไม่ต้องห่วงเรื่องนายสิน ตนจะดูแลเขาให้อย่างดีที่สุด
“ขอบคุณพี่ต้นแทนบุปผาด้วยค่ะ สงสารบุปผาเหลือเกิน มีกันอยู่แค่สองคนพี่น้องแท้ๆ นายสินยังมาล้มเจ็บอย่างนี้เสียอีก”
พูดจบมัทนาก็รีบขอตัวขึ้นตึกเรียนเพราะเห็นเพชรขับรถมาจอดส่งพลอย เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับเขา แต่อยากพูดคุยปรับความเข้าใจกับพลอยมากกว่า ส่วนไอศูรย์เลี่ยงไม่ได้ และไม่มีความจำเป็นต้องเลี่ยง เขาทักทายเพชรเป็นปกติ ถามว่าเมื่อคืนไปดูละครสนุกไหม เพชรกลับตอบแดกดันเสียงแข็ง
“ได้ไปดูกับน้องมัทนา ยิ่งดูละครได้สนุกกว่าที่คิดไว้อีกครับพี่ต้น”
“เพชร...พี่ไม่อยากผิดใจกับเพชร เพราะเราก็รู้จักกันมาหลายปีแล้ว”
“มาพูดตอนนี้มันสายไปแล้วละ ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ตราบใดที่พี่ต้นกับน้องมัทยังไม่ได้หมั้นหมายกัน ผมจะไม่ยอมรามือจากน้องมัทอย่างแน่นอน” ว่าแล้วเพชรก็เดินกลับมาขึ้นรถขับพรืดออกไป ทิ้งไอศูรย์ยืนเซ็งและหนักใจ แต่พอกลับมาโรงพยาบาลก็หนักใจยิ่งกว่า เมื่อพบเห็นอิ่มนอนหมดสติโดยไม่มีใครรู้เห็น เขารีบเยียวยารักษาโดยตามหมอปรีชามาช่วยด้วย
ส่วนบุปผาที่ถูกสร้อยกับคุณหญิงมณีจับตาและหมายหัวเรื่องใกล้ชิดหมอไอศูรย์ พอกลับถึงบ้านคุณหญิงคิดตัดไฟแต่ต้นลมสั่งบุปผาให้เลิกไปช่วยงานหมอที่โรงพยาบาล บุปผาทำท่าจะค้านโดยอ้างชื่อป้ารุ่ง แต่คุณหญิงตัดบทอย่างไม่สนใจ
“เรื่องของคนบ้า ปล่อยให้หมอเขารักษากันต่อไปเองเถอะ ส่วนเธอคอยดูแลนายสินดีกว่า เขาเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอ ถึงขั้นเป็นอัมพาตพูดไม่ได้ขนาดนี้ เธอควรจะห่วงพี่ชายมากกว่าคนอื่นนะ”
บุปผาพูดอะไรไม่ออก เหลือบเห็นสร้อยทำหน้าสะใจแล้วยิ่งโมโหแต่ต้องพยายามสะกดอารมณ์ไว้ รับปากรับคำคุณหญิงก่อนถอยกลับออกมา นายพลเทพนั่งมองด้วยความสงสัย อดไม่ไหวเอ่ยถามภรรยา
“มีอะไรกันรึคุณ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่กันไว้ก็ดีกว่าแก้น่ะค่ะคุณ”
“คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ”
“เรื่องผู้หญิงกับผู้ชายไงคะ ดิฉันไม่อยากให้นังบุปผามันอยู่ใกล้ชิดพ่อต้นมากเกินไป ถึงพ่อต้นจะเป็นคนดี แต่ดิฉันกลัวค่ะ กลัวว่าเอาน้ำตาลไปอยู่ใกล้ๆมด ประเดี๋ยวมดมันอดใจไม่ได้ จะยุ่งเสียเปล่าๆ”
พูดแล้วคุณหญิงมณีหันมองสามีตาวาว นายพลเทพมีชนักปักหลังเรื่องอุ่นอยู่ แม้จะเชื่อว่าคุณหญิงไม่รู้เรื่องราวในอดีต แต่ก็ไม่อยากพูดให้มากความไปจึง
นิ่งเสีย...
ด้านบุปผาที่กลับออกมาด้วยความหงุดหงิดโมโห ถึงกับสบถออกมาอย่างเคืองแค้น
“คิดจะกีดกันฉันเหรอนังคุณหญิง คนอย่างอีบุปผา ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกเว้ย”
ooooooo
เพชรเข้าใจว่าไอศูรย์เจ้าชู้ไม่จริงใจกับมัทนา ขณะเดียวกันพลอยก็คิดว่ามัทนาหลายใจคืนก่อนถึงได้มาดูละครกับพี่ชายของเธอ...ความบาดหมางนี้ทำให้พลอยถึงกับเอ่ยปากชวนเพชรร่วมมือกัน
“ร่วมมือเรื่องอะไร” เพชรสีหน้าสงสัย
“ในเมื่อพี่เพชรก็ยังชอบยายมัทอยู่ และยายมัทก็ยังไม่ได้หมั้นกับพี่ต้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แค่เป็นคู่หมายกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นอะไรๆมันก็ยังอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้”
“แล้วไง...”
“ก็ถ้าเรามาร่วมมือกัน พี่เพชรต้องพยายามเอาชนะใจยายมัทให้ได้ แล้วพลอยก็จะได้มีโอกาสกับพี่ต้นบ้าง”
“แล้วกำพลล่ะ พลอยก็รู้ว่าตอนนี้กำพลมันเดินเข้าออกบ้านเราหัวบันไดไม่แห้งเลยเพราะอะไร”
“พลอยมีสิทธิ์จะเลือกคนที่ดีที่สุดให้กับตัวเองไม่ใช่หรือคะพี่เพชร”
คำพูดของน้องสาวทำเอาพี่ชายหัวเราะชอบใจก่อนตอบตกลงแต่โดยดี...ด้านบุปผาที่โดนสร้อยกับคุณหญิงมณีกีดกันจนเข้าถึงตัวไอศูรย์ไม่ได้ก็คิดหนัก ก่อนจะแอบนัดพบผกาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ผกาค้านหัวชนฝาเมื่อได้ยินบุปผาบอกว่าจะทำเสน่ห์หมอไอศูรย์
“ทำไมล่ะจ๊ะแม่”
“การทำเสน่ห์หรือการทำของใส่คนอื่นน่ะมันเป็นคุณไสยที่สกปรกที่สุด ดีไม่ดีสิ่งเลวร้ายจากของที่เอามาทำเสน่ห์มันจะย้อนกลับมาเข้าตัวเรานะลูก”
“ฉันไม่กลัวหรอก ฉันกลัวพลาดจากหมอไอศูรย์มากกว่า”
“แต่ยังไงๆแม่ก็ไม่เห็นด้วย อย่าว่าแต่ทำเสน่ห์เลยเอาแค่คิดจะวางยานี่ก็บาปมากแล้ว”
“วางยา...” บุปผาทวนคำ สีหน้าครุ่นคิดบางอย่าง “เอ้า...ฉันไม่ทำเสน่ห์คุณหมอก็ได้ งั้นฉันแค่วางยาก็ได้ เอาแค่เบาะๆ พอให้ล้มหมอนนอนเสื่อก็พอ”เมื่อพ้นสายตาทุกคนมาแล้ว บุปผาที่หน้าเศร้าเสียใจก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวแววตาดุดันน่ากลัว คิดหาทางกำจัดนายสินก่อนจะฟื้นขึ้นมาเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับตัวเธอ
บุปผาออกจากบ้านแต่เช้ามืด มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลเพื่อฆ่าปิดปากนายสินด้วยการใช้หมอนกดทับใบหน้าเพื่อให้เขาขาดอากาศหายใจ แต่ไม่สำเร็จเพราะไอศูรย์เข้ามากะทันหัน บุปผาหัวไวเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว ด้วยการทำทีเป็นซ้อนหมอนหนุนศีรษะให้นายสิน หมอหนุ่มไม่เอะใจสงสัย ทักหญิงสาวด้วยสีหน้าชื่นชม
“มาเยี่ยมนายสินแต่เช้าเลยนะบุปผา”
“ค่ะ พอดีบุปผาเห็นพี่สินนอนท่าทางไม่ค่อยสบาย บุปผาก็เลยจะเอาหมอนซ้อนให้พี่สินอีกใบ พี่สินชอบนอนหมอนสูงๆน่ะค่ะคุณหมอ”
“นายสินโชคดีจริงที่มีน้องสาวอย่างเธอ...เดี๋ยวบุปผาตามฉันไปที่ห้องทำงานหน่อยสิ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
บุปผายิ้มรับและรอให้ไอศูรย์เดินนำออกไป ก่อน... แล้วก้มลงกระซิบข้างหูนายสินที่รับรู้ทุกอย่างแต่พูดไม่ได้
“อย่าได้คิดจะเปิดปากพูดเรื่องฉันเชียวนะพี่สิน ไม่อย่างนั้นคราวหน้าพี่สินคงจะไม่โชคดีอย่างนี้อีก”
สินแววตาหวาดกลัว มองตามหลังบุปผาไปอย่างไม่คาดคิดว่าเธอจะร้ายกาจถึงเพียงนี้...เมื่อตามไปคุยกับหมอไอศูรย์ ไม่นึกว่าจะได้ยินข่าวน่ายินดี แต่บุปผาต้องเก็บซ่อนอาการไว้ แล้วแสร้งตกใจสุดขีด
“อะไรนะคะ พี่สินเป็นอัมพาต”
“ผลจากการหกล้มทำให้นายสินกระดูกต้นคอร้าว จึงมีอาการเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไป...จะเดินไม่ได้”
“แล้วพูดล่ะคะ พี่สินพูดได้ไหมคะ”
ไอศูรย์ส่ายหน้า บุปผาถึงกับร้องไห้โฮออกมา รำพึงรำพันอย่างน่าสงสาร “โธ่...เวรกรรมอะไรของพี่สินนะ ทำไมถึงได้โชคร้ายอย่างนี้”
“ใจเย็นๆก่อนนะบุปผา นายสินอายุยังไม่มากหากโชคดีกระดูกที่ร้าวอาจสมานตัวเองได้ นายสินก็มีโอกาสกลับมาพูดหรือเคลื่อนไหวได้อีก แม้จะมีโอกาสไม่มากนัก แต่ฉันก็ไม่อยากให้เธอสิ้นหวังนะบุปผา”
บุปผาได้ทีคุกเข่าเข้ามากราบที่ตักไอศูรย์ “คุณหมอต้องช่วยพี่สินให้กลับมาเดินได้พูดได้อีกครั้งนะคะ บุปผาไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว ถ้าไม่มีพี่สินชีวิตบุปผาก็ไม่เหลือใครแล้ว คุณหมอต้องช่วยพี่สินนะคะ”
“นังบุปผา!” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจนทั้งคู่สะดุ้ง
สร้อยนั่นเอง! เธอมาพร้อมคุณหญิงมณีและเห็นภาพนั้นเต็มตา แต่มัทนาเดินรั้งท้ายไม่เห็นอะไร...สร้อยกับคุณหญิงไม่พอใจบุปผาที่ใกล้ชิดไอศูรย์เกินควร ซึ่งสร้อยรู้ทันบุปผาทำเพื่ออะไร จึงลากตัวออกมาด่าและเน้นย้ำว่า
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ ฉันจะบอกให้นะ ความพยายาม แกไม่เป็นผลหรอก เพราะคุณหมอไอศูรย์กำลังจะหมั้นกับคุณหนูอยู่เร็วๆนี้แล้ว รู้ไว้ด้วย”
บุปผาตีหน้าซื่อไม่ตอบโต้ สร้อยหมั่นไส้ผลักเธอเซแล้วเดินจากไปอย่างหัวเสีย...บุปผามองตามตาขวาง พึมพำกับตัวเองอย่างหมายมาด
“ก็ให้มันรู้ไปสิว่าจะได้หมั้นกัน!”
ooooooo
คุณหญิงมณีกับมัทนาเวทนาสงสารนายสินที่อยู่ดีๆก็กลายเป็นคนพิการเดินและพูดไม่ได้ สองแม่ลูกฝากฝังหมอไอศูรย์รักษานายสินต่อไป เพราะเขาเป็นคนเก่าแก่ของบ้าน
สินนอนลืมตาโพลงมองทุกคน ส่งเสียงอืออาเหมือนจะบอกอะไรแต่ก็พูดออกมาไม่ได้ คุณหญิงมณีเวทนาจนน้ำตาซึม ขยับเข้าไปพูดใกล้ๆหูนายสิน
“เอาเถอะนายสิน ฉันรับรองว่าฉันจะไม่ทอดทิ้งแก จะเลี้ยงดูแกกับแม่บุปผาน้องสาวของแกต่อไป”
ไอศูรย์กับมัทนายืนห่างออกมา ท่าทางคุณหมอยังงอนๆเรื่องที่เธอไปดูละครกับเพชรเมื่อคืน ซึ่งมัทนามองออกจึงเป็นฝ่ายชวนเขาพูดคุยและหาจังหวะขอโทษ
“พี่ต้นขา...เรื่องเมื่อวานพี่ต้นอย่าโกรธน้องมัทนะคะ ที่น้องมัทไปดูละครการกุศลกับพี่เพชร ก็เพราะคุณพ่อบอกให้ไปน่ะค่ะ”
“จริงเหรอ”
“น้องมัทไม่ได้อยากไปหรอกค่ะ แต่ไม่กล้าขัดคุณพ่อ” ฟังแล้วไอศูรย์ค่อยยิ้มออก มัทนาเลยสีหน้าดีขึ้นตามไปด้วย “พี่ต้นหายโกรธน้องมัทแล้วใช่ไหมคะ”
“ก็ถ้าน้องมัทไปเพราะคุณลุงบอกให้ไป พี่ก็ไม่โกรธ”
ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กัน ความสัมพันธ์กลับมาคงเดิม บุปผากลับมาเห็นภาพนั้นก็หน้าบึ้งตึง เดินบ่นไปอีกทางอย่างหัวเสีย
“ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ เมื่อวานคุณหมอกับนังคุณหนูเพิ่งจะผิดใจกันอยู่หยกๆ วันนี้กลับมาดีกันได้ยังไงนี่...ยังดีนะที่ไอ้สินมันเป็นอัมพาตพูดไม่ได้ไปแล้ว ก็หมดไปเรื่องนึง แต่ถ้ามันตายๆไปเสียเลย ชีวิตฉันก็คงจะง่ายกว่านี้”
บุปผากระฟัดกระเฟียดเดินผ่านห้องอิ่ม...อิ่มเหลือบเห็นรีบวิ่งเข้าหาด้วยความดีใจ แต่บุปผากำลังอารมณ์เสียเลยผลักอย่างแรงจนอิ่มล้มหัวฟาดพื้นแน่นิ่ง แล้ววิ่งหนีไปด้วยความตกใจ โดยไม่สนใจจะช่วยเหลือดูอาการอิ่มแต่อย่างใด...
ไอศูรย์ขับรถไปส่งมัทนาที่มหาวิทยาลัยและบอกให้ตั้งใจเรียน ไม่ต้องห่วงเรื่องนายสิน ตนจะดูแลเขาให้อย่างดีที่สุด
“ขอบคุณพี่ต้นแทนบุปผาด้วยค่ะ สงสารบุปผาเหลือเกิน มีกันอยู่แค่สองคนพี่น้องแท้ๆ นายสินยังมาล้มเจ็บอย่างนี้เสียอีก”
พูดจบมัทนาก็รีบขอตัวขึ้นตึกเรียนเพราะเห็นเพชรขับรถมาจอดส่งพลอย เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับเขา แต่อยากพูดคุยปรับความเข้าใจกับพลอยมากกว่า ส่วนไอศูรย์เลี่ยงไม่ได้ และไม่มีความจำเป็นต้องเลี่ยง เขาทักทายเพชรเป็นปกติ ถามว่าเมื่อคืนไปดูละครสนุกไหม เพชรกลับตอบแดกดันเสียงแข็ง
“ได้ไปดูกับน้องมัทนา ยิ่งดูละครได้สนุกกว่าที่คิดไว้อีกครับพี่ต้น”
“เพชร...พี่ไม่อยากผิดใจกับเพชร เพราะเราก็รู้จักกันมาหลายปีแล้ว”
“มาพูดตอนนี้มันสายไปแล้วละ ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ตราบใดที่พี่ต้นกับน้องมัทยังไม่ได้หมั้นหมายกัน ผมจะไม่ยอมรามือจากน้องมัทอย่างแน่นอน” ว่าแล้วเพชรก็เดินกลับมาขึ้นรถขับพรืดออกไป ทิ้งไอศูรย์ยืนเซ็งและหนักใจ แต่พอกลับมาโรงพยาบาลก็หนักใจยิ่งกว่า เมื่อพบเห็นอิ่มนอนหมดสติโดยไม่มีใครรู้เห็น เขารีบเยียวยารักษาโดยตามหมอปรีชามาช่วยด้วย
ส่วนบุปผาที่ถูกสร้อยกับคุณหญิงมณีจับตาและหมายหัวเรื่องใกล้ชิดหมอไอศูรย์ พอกลับถึงบ้านคุณหญิงคิดตัดไฟแต่ต้นลมสั่งบุปผาให้เลิกไปช่วยงานหมอที่โรงพยาบาล บุปผาทำท่าจะค้านโดยอ้างชื่อป้ารุ่ง แต่คุณหญิงตัดบทอย่างไม่สนใจ
“เรื่องของคนบ้า ปล่อยให้หมอเขารักษากันต่อไปเองเถอะ ส่วนเธอคอยดูแลนายสินดีกว่า เขาเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอ ถึงขั้นเป็นอัมพาตพูดไม่ได้ขนาดนี้ เธอควรจะห่วงพี่ชายมากกว่าคนอื่นนะ”
บุปผาพูดอะไรไม่ออก เหลือบเห็นสร้อยทำหน้าสะใจแล้วยิ่งโมโหแต่ต้องพยายามสะกดอารมณ์ไว้ รับปากรับคำคุณหญิงก่อนถอยกลับออกมา นายพลเทพนั่งมองด้วยความสงสัย อดไม่ไหวเอ่ยถามภรรยา
“มีอะไรกันรึคุณ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่กันไว้ก็ดีกว่าแก้น่ะค่ะคุณ”
“คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ”
“เรื่องผู้หญิงกับผู้ชายไงคะ ดิฉันไม่อยากให้นังบุปผามันอยู่ใกล้ชิดพ่อต้นมากเกินไป ถึงพ่อต้นจะเป็นคนดี แต่ดิฉันกลัวค่ะ กลัวว่าเอาน้ำตาลไปอยู่ใกล้ๆมด ประเดี๋ยวมดมันอดใจไม่ได้ จะยุ่งเสียเปล่าๆ”
พูดแล้วคุณหญิงมณีหันมองสามีตาวาว นายพลเทพมีชนักปักหลังเรื่องอุ่นอยู่ แม้จะเชื่อว่าคุณหญิงไม่รู้เรื่องราวในอดีต แต่ก็ไม่อยากพูดให้มากความไปจึง
นิ่งเสีย...
ด้านบุปผาที่กลับออกมาด้วยความหงุดหงิดโมโห ถึงกับสบถออกมาอย่างเคืองแค้น
“คิดจะกีดกันฉันเหรอนังคุณหญิง คนอย่างอีบุปผา ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกเว้ย”
ooooooo
เพชรเข้าใจว่าไอศูรย์เจ้าชู้ไม่จริงใจกับมัทนา ขณะเดียวกันพลอยก็คิดว่ามัทนาหลายใจคืนก่อนถึงได้มาดูละครกับพี่ชายของเธอ...ความบาดหมางนี้ทำให้พลอยถึงกับเอ่ยปากชวนเพชรร่วมมือกัน
“ร่วมมือเรื่องอะไร” เพชรสีหน้าสงสัย
“ในเมื่อพี่เพชรก็ยังชอบยายมัทอยู่ และยายมัทก็ยังไม่ได้หมั้นกับพี่ต้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แค่เป็นคู่หมายกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นอะไรๆมันก็ยังอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้”
“แล้วไง...”
“ก็ถ้าเรามาร่วมมือกัน พี่เพชรต้องพยายามเอาชนะใจยายมัทให้ได้ แล้วพลอยก็จะได้มีโอกาสกับพี่ต้นบ้าง”
“แล้วกำพลล่ะ พลอยก็รู้ว่าตอนนี้กำพลมันเดินเข้าออกบ้านเราหัวบันไดไม่แห้งเลยเพราะอะไร”
“พลอยมีสิทธิ์จะเลือกคนที่ดีที่สุดให้กับตัวเองไม่ใช่หรือคะพี่เพชร”
คำพูดของน้องสาวทำเอาพี่ชายหัวเราะชอบใจก่อนตอบตกลงแต่โดยดี...ด้านบุปผาที่โดนสร้อยกับคุณหญิงมณีกีดกันจนเข้าถึงตัวไอศูรย์ไม่ได้ก็คิดหนัก ก่อนจะแอบนัดพบผกาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ผกาค้านหัวชนฝาเมื่อได้ยินบุปผาบอกว่าจะทำเสน่ห์หมอไอศูรย์
“ทำไมล่ะจ๊ะแม่”
“การทำเสน่ห์หรือการทำของใส่คนอื่นน่ะมันเป็นคุณไสยที่สกปรกที่สุด ดีไม่ดีสิ่งเลวร้ายจากของที่เอามาทำเสน่ห์มันจะย้อนกลับมาเข้าตัวเรานะลูก”
“ฉันไม่กลัวหรอก ฉันกลัวพลาดจากหมอไอศูรย์มากกว่า”
“แต่ยังไงๆแม่ก็ไม่เห็นด้วย อย่าว่าแต่ทำเสน่ห์เลยเอาแค่คิดจะวางยานี่ก็บาปมากแล้ว”
“แกจะวางยาคุณหมอทำไม”
“ฉันจะวางยาคุณหญิงต่างหากล่ะจ๊ะแม่ เพราะตอนนี้นังคุณหญิงมันระแวงฉัน แล้วเกิดมันไล่ฉันออกจากบ้าน ทุกอย่างที่ฉันลงทุนมาก็จะสูญเปล่าหมด แต่ถ้าฉันวางยามัน...
พอมันล้มป่วย ฉันก็จะเลิกวางยาแล้วทำทีเป็นต้มสมุนไพรให้มันกินเพื่อรักษาอาการแทน นังคุณหญิงมันก็จะค่อยๆอาการดีขึ้น แล้วก็เชื่อว่าฉันเป็นคนช่วยรักษา ทีนี้ฉันก็จะได้กลายเป็นคนโปรดของคุณหญิงไงละจ๊ะแม่ เป็นไง แผนฉันเข้าท่าไหมล่ะ”
“แต่หมอไอศูรย์เขาเป็นหมอนะ เขาจะไม่รู้เชียวเหรอว่าคุณหญิงถูกวางยาน่ะ”
“ฉันรู้มาว่ายาแบบนี้การแพทย์สมัยใหม่ตรวจไม่พบหรอกจ้ะแม่”
ผกายังมีสีหน้าลังเล บุปผารีบใช้ลูกอ้อนโผเข้าคลอเคลียกอดเอว
“แม่จ๋า...ฉันแค่จะวางยาเพื่อให้คุณหญิงรักฉัน ฉันจะได้ไม่ถูกเฉดหัวออกจากบ้านนั้นง่ายๆเท่านั้นแหละจ้ะ ไม่ได้จะฆ่าคุณหญิงสักหน่อย ฉันจะได้มีโอกาสจับ
หมอไอศูรย์แต่งงานกับฉันให้ได้ แล้วพอฉันได้ดีแล้วแม่ก็จะได้เลิกกิจการหอโคมแดงเสียทีไงจ๊ะ แม่ช่วยฉันนะ”
“ไม่!!” คำตอบของผกาทำเอาบุปผาหน้าง้ำลงทันใด
ooooooo
นายพลเทพเรียกดำเกิงมาพบในห้องทำงานที่กรมทหารเพื่อให้ดำเนินการเรื่องที่ตนกำลังร้อนใจอยู่
“ฉันโทร.ไปหาผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ดำเกิงบอกฉันเรียบร้อยแล้ว เขาตกลงจะอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ดำเกิงเอารูปให้เขาดู ถามเขามาให้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นใช่แม่อิ่มรึเปล่า ถ้าใช่แม่อิ่มจริงๆ แล้วเด็กนั่นใช่ลูกฉันไหม...แล้วเวลานี้เด็กนั่นอยู่ที่ไหน ตราบใดที่เรื่องนี้ยังไม่กระจ่างฉันคงไม่มีวันตายตาหลับแน่”
ดำเกิงรับคำและรับรูปถ่ายสองพี่น้องอิ่มกับอุ่นจากนายพลเทพแล้วเดินออกไป...แล้วคืนนั้นเอง นายพลเทพก็เก็บเรื่องอุ่นกับลูกมาฝันเป็นตุเป็นตะว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ พอสะดุ้งตื่นก็เรียกลูกเสียงดังจนคุณหญิงที่นอนอยู่ข้างกันรู้สึกตัวแต่แกล้งนอนหลับตานิ่งเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย...
ฝ่ายดำเกิงที่ไปหาข้อมูลจากโรงพยาบาลที่นายพลเทพกรุยทางไว้ให้แล้ว ปรากฏว่าหมอให้ความร่วมมืออย่างดี ยืนยันว่าผู้หญิงที่ถูกรถชนมาในคืนนั้นกับผู้หญิงในรูปเป็นคนคนเดียวกัน แต่ไม่ทราบว่าเธอชื่ออะไร เพราะเธอถูกรถชนสมองกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนความจำเสื่อม
“ความจำเสื่อม?”
“ครับ...แล้วเธอก็หนีหายออกไปจากโรงพยาบาลตั้งแต่วันนั้น แล้วเราก็ไม่เคยพบตัวเธออีกเลย”
“แล้วเด็กล่ะครับ เป็นลูกของผู้หญิงคนนี้หรือว่าลูกใคร”
“เราไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้เลยครับ ผมคงให้ข้อมูลคุณได้เพียงเท่านี้ละครับ”
“ขอบคุณครับหมอ” ดำเกิงยกมือไหว้แล้วลุกขึ้นจะกลับ พลางบ่นกับตัวเองเบาๆ “เฮ้อ..อุตส่าห์ดั้นด้นหามาจนถึงนี่ เจอทางตันเสียได้”
ดำเกิงเดินออกมาได้สองสามก้าวก็ชะงัก ได้ยินเสียงหมอเรียกเพราะนึกอะไรขึ้นมาได้...ดำเกิงได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อแซ่ของคนที่เอาเด็กไปอุปการะ จึงรีบกลับมารายงานนายพลเทพโดยเร็ว
“อะไรนะ ผู้หญิงหยำฉ่ารับเอาลูกฉันไปเลี้ยง”
“ครับท่าน” ดำเกิงส่งสมุดบันทึกข้อมูลของโรงพยาบาลที่มีชื่อนามสกุลของผกาอย่างชัดเจนให้เจ้านายดู
นายพลเทพสีหน้าเคร่งเครียด บอกลูกน้องคนสนิทว่า “เอาเถอะ หาตัวลูกฉันให้พบก่อน แล้วค่อยว่ากัน แต่จำไว้นะดำเกิง เธอต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างที่สุดนะ ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้เป็นอันขาด โดยเฉพาะคุณหญิงมณี”
“ครับท่าน”
นายพลเทพดีใจที่รู้ว่าลูกอีกคนของตนยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็กังวลใจว่าจะตามหาเจอหรือไม่ และหากเจอแล้วจะอยู่ในสถานะไหน...คุณหญิงมณีแอบฟังอยู่หน้าห้อง ได้ยินชื่อผกาแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่รู้แล้วว่าสามีมีความลับที่ปิดบังเธออยู่
ooooooo
หลังจากปฏิเสธให้ความช่วยเหลือบุปผาที่ต้องการวางยาคุณหญิงมณีไปแล้ว ผกากลับมาคิดหนัก และสุดท้ายก็จำใจกลับคำเมื่อประสบพบเจอเหตุการณ์เมียหลวงบุกมาตามสามีถึงหอโคมแดงแล้วด่าประจานอย่างสาดเสียเทเสีย
ผกาอับอายจนอยากเลิกอาชีพนี้ ซึ่งบุปผาเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เธอหลุดพ้นจากที่นี่ ดังนั้นผกาจึงต้องช่วยทำให้ความฝันของบุปผาเป็นจริงเสียก่อน ด้วยการได้สามีฐานะร่ำรวยแล้วตัวเองก็จะพลอยสบายไปด้วย
แล้ววันต่อมา ผกาก็พาบุปผาไปหาตาเถาหมอยาชื่อดังซึ่งเป็นคนเดียวกับที่สร้อยเคยมาเอายาไปให้คุณหญิงมณีเพื่อให้นายพลเทพกินจนเป็นหมัน
“รับปากกับแม่ก่อนนะบุปผา ว่าแกจะวางยานัง คุณหญิงแค่พอให้มันป่วย แล้วพอทุกอย่างเป็นไปตามแผนแล้วแกก็จะเลิกให้ยานังคุณหญิงน่ะ”
“โธ่แม่ ฉันแค่อยากเป็นเมียหมอไอศูรย์เท่านั้นนะ ฉันยังไม่อยากเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตายหรอกจ้ะ...แม่จ๋า ถ้าแผนของฉันสำเร็จ ฉันได้แต่งงานกับหมอไอศูรย์เมื่อไหร่ ฉันก็จะรับแม่มาอยู่กับฉันด้วย พอกันทีอาชีพขายตัว ฉันจะเลี้ยงดูแม่ให้อยู่สุขสบายเสียที”
“จริงๆนะบุปผา”
“จริงสิจ๊ะแม่ แม่เป็นคนเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่วันที่ฉันเกิด ถ้าไม่มีแม่ผกาคนนี้ ก็คงไม่มีนังบุปผาในวันนี้เหมือนกัน”
ผกายิ้มมีความหวัง นำทางบุปผาขึ้นเรือนตาเถาแล้วเริ่มสนทนา โดยมีนายถิ่นน้องชายตาเถากับไอ้หลงเด็กหนุ่มผู้ช่วยนั่งห่างออกมา
“นี่รึลูกสาวเอ็ง”
“จ้ะพ่อหมอ ว่าแต่พ่อหมอมียาอย่างที่ฉันว่าไหมจ๊ะ”
“มี...แต่มันไม่ใช่ยาที่จะหากันได้ง่ายๆหรอกนะแม่ผกา”
“ถึงแพงฉันก็ไม่เกี่ยงจ้ะ”
ตาเถามองบุปผาแล้วยิ้มในหน้าอย่างพอใจ จากนั้นหันไปพยักพเยิดกับไอ้หลง ครู่เดียวขวดยาเล็กๆก็ถูกส่งถึงมือตาเถา
“ขวดเล็กแค่นี้เองเหรอจ๊ะพ่อหมอ” บุปผาชะโงกหน้ามอง
“เล็กๆนี่แหละฤทธิ์แรงนัก รู้ไหมว่าแค่หยดหรือสองหยดก็จะทำให้เกิดอาการแขนขาอ่อนแรง คล้ายจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต แต่ถ้ามากๆละก็ ถึงตายเลยทีเดียว”
“แล้วพ่อหมอแน่ใจนะว่ายานี่พวกหมอสมัยใหม่จะตรวจไม่พบน่ะ”
“แน่ใจสิ นี่ถ้าเอ็งไม่เชื่อถือข้า เอ็งจะมาหาข้าทำไม ตกลงจะเอาหรือไม่เอา”
“เอาจ้ะเอา” บุปผาพูดระรัว เอื้อมมือจะหยิบขวดยาจากมือตาเถา แต่แกหดมือทันควัน
บุปผารู้ทันทีว่าหมอนี่ไม่ธรรมดา เธอหยิบเงินจำนวนหนึ่งส่งให้เขาแล้วจึงได้ขวดยานั้นมาสมใจอยาก หลังจากนั้นก็พาผกาลงจากเรือน โดยไม่รู้ว่านายถิ่นจับตามองเธอจนลับตา แต่ตาเถาสังเกตตลอดเวลา เดินมากระชากคอน้องชาย สำทับอย่างรู้ทัน
“เฮ้ย...มองตามตาละห้อยเชียวนะเอ็ง พวกผู้หญิงพรรค์อย่างว่า เอ็งอย่าริไปยุ่งเกี่ยวด้วยเชียวนะ โดยเฉพาะนังลูกคนนั่นน่ะ ท่าทางจะร้ายไม่เบาเลย ไปๆ เข้าบ้าน”
ถิ่นถูกพี่ชายลากตัวเข้าบ้าน แต่ไม่วายเหลียวกลับมามองบุปผาอีกครั้งอย่างติดใจในความสวย
ooooooo
หลังจากได้ยินสามีพูดถึงลูกและมีคนชื่อผกาเข้ามาเกี่ยวข้อง คุณหญิงมณีร้อนใจจนอยู่เฉยไม่ได้ สั่งการสร้อยหาคนไว้ใจได้สักคนมาให้แต่ยังไม่บอกว่าจะให้ทำอะไร
ทางด้านบุปผาที่ได้ยาจากตาเถามาสมใจก็กระหยิ่มยิ้มย่องหวังจัดการคุณหญิงมณีให้อยู่หมัด ส่วนนายสินก็ไม่มีปัญหาอะไรให้หนักใจ เพราะพูดและเดินไม่ได้นอนเป็นผักปลาไปแล้ว แต่บุปผาก็ยังต้องแวะเวียนมาเยี่ยมเขาเพื่อความแนบเนียน
แม้สินขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้แต่ก็รับรู้การกระทำทุกอย่างของบุปผา เขามองเธอก้าวเข้ามาด้วยแววตาเจ็บแค้นและไม่ไว้วางใจ
“ฉันไม่ได้อยากจะมาเยี่ยมเยียนแกนักหรอกนะไอ้สิน แต่ถ้าฉัน...ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆญาติเพียงคนเดียวที่แกมีไม่มาเยี่ยมแกเสียเลย คนอื่นเขาจะสงสัยฉันเอาได้ ฉันก็เลยต้องมา ความจริงแกโชคดีแล้วนะไอ้สิน ที่แกเป็นง่อยเดินไม่ได้ พูดไม่ได้อย่างนี้น่ะ เพราะไม่อย่างนั้นฉันก็คงต้องใช้ยาในขวดนี้กับแกด้วย แกรู้มั้ย...ยานี่มันทำอะไรได้บ้าง เขาบอกว่าแค่หยดสองหยดก็ทำให้เกิดอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงคล้ายจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตอย่างที่แกเป็นอย่างนี้ละ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็...”
สินมองขวดยาเล็กๆที่บุปผาเอาออกมาอวดด้วยสีหน้าตื่นกลัว
“แล้วแกรู้มั้ย ฉันจะใช้ยาขวดนี้กับใคร ก็กับนังคุณหญิง มณี นังผู้ดีแปดสาแหรก เจ้านายที่แกจงรักภักดีนักหนาไงล่ะ” พูดจบบุปผาก็หัวเราะชอบใจในแผนร้ายของตัวเอง ในขณะที่สินตาเหลือกลานด้วยความกลัวอย่างสุดขีด...
วันรุ่งขึ้น ดำเกิงมาพบนายพลเทพที่ทำงานรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับแม่เล้าที่ชื่อผกาซึ่งสืบทราบมาว่าหล่อนมาเปิดซ่องอยู่ในพระนคร นายพลเทพจึงกำชับดำเกิงตระเวนไปตามซ่องต่างๆให้ทั่ว บางทีผกากับลูกของตนอาจจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตนนัก
เสร็จธุระ ดำเกิงกลับออกมาโดยไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งสะกดรอยตามอยู่ตลอด...
ที่แท้เขาคือนายพุ่มญาติของสร้อยนั่นเอง พุ่มถูกคุณหญิงมณีส่งมาติดตามความเคลื่อนไหวของนายพลเทพและดำเกิง โดยเฉพาะดำเกิงไม่ว่าจะไปไหนต้องอย่าให้คลาดสายตา...
ค่ำวันเดียวกัน บุปผาเริ่มปฏิบัติการวางยาคุณหญิงมณี แต่ยังไม่ทันเปิดขวดยาเยาะลงอาหารก็สะดุ้งเฮือกจนขวดหล่นจากมือ
“บุปผา...” นายพลเทพส่งเสียงก่อนเดินตรงมาหา บุปผาเหลือบมองขวดยาที่พื้นด้วยใจระทึก พอเห็นว่าท่านไม่สงสัยก็พยายามทำตัวปกติ ถามอย่างนอบน้อมว่า
“ท่านมีอะไรจะใช้บุปผาหรือคะ”
“นายสินเป็นยังไงบ้าง”
“พี่สินพูดไม่ได้ ขยับตัวก็ไม่ได้เลยค่ะท่าน”ทางด้านบุปผาที่ได้ยาจากตาเถามาสมใจก็กระหยิ่มยิ้มย่องหวังจัดการคุณหญิงมณีให้อยู่หมัด ส่วนนายสินก็ไม่มีปัญหาอะไรให้หนักใจ เพราะพูดและเดินไม่ได้นอนเป็นผักปลาไปแล้ว แต่บุปผาก็ยังต้องแวะเวียนมาเยี่ยมเขาเพื่อความแนบเนียน
แม้สินขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้แต่ก็รับรู้การกระทำทุกอย่างของบุปผา เขามองเธอก้าวเข้ามาด้วยแววตาเจ็บแค้นและไม่ไว้วางใจ
“ฉันไม่ได้อยากจะมาเยี่ยมเยียนแกนักหรอกนะไอ้สิน แต่ถ้าฉัน...ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆญาติเพียงคนเดียวที่แกมีไม่มาเยี่ยมแกเสียเลย คนอื่นเขาจะสงสัยฉันเอาได้ ฉันก็เลยต้องมา ความจริงแกโชคดีแล้วนะไอ้สิน ที่แกเป็นง่อยเดินไม่ได้ พูดไม่ได้อย่างนี้น่ะ เพราะไม่อย่างนั้นฉันก็คงต้องใช้ยาในขวดนี้กับแกด้วย แกรู้มั้ย...ยานี่มันทำอะไรได้บ้าง เขาบอกว่าแค่หยดสองหยดก็ทำให้เกิดอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงคล้ายจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตอย่างที่แกเป็นอย่างนี้ละ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็...”
สินมองขวดยาเล็กๆที่บุปผาเอาออกมาอวดด้วยสีหน้าตื่นกลัว
“แล้วแกรู้มั้ย ฉันจะใช้ยาขวดนี้กับใคร ก็กับนังคุณหญิง มณี นังผู้ดีแปดสาแหรก เจ้านายที่แกจงรักภักดีนักหนาไงล่ะ” พูดจบบุปผาก็หัวเราะชอบใจในแผนร้ายของตัวเอง ในขณะที่สินตาเหลือกลานด้วยความกลัวอย่างสุดขีด...
วันรุ่งขึ้น ดำเกิงมาพบนายพลเทพที่ทำงานรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับแม่เล้าที่ชื่อผกาซึ่งสืบทราบมาว่าหล่อนมาเปิดซ่องอยู่ในพระนคร นายพลเทพจึงกำชับดำเกิงตระเวนไปตามซ่องต่างๆให้ทั่ว บางทีผกากับลูกของตนอาจจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตนนัก
เสร็จธุระ ดำเกิงกลับออกมาโดยไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งสะกดรอยตามอยู่ตลอด...
ที่แท้เขาคือนายพุ่มญาติของสร้อยนั่นเอง พุ่มถูกคุณหญิงมณีส่งมาติดตามความเคลื่อนไหวของนายพลเทพและดำเกิง โดยเฉพาะดำเกิงไม่ว่าจะไปไหนต้องอย่าให้คลาดสายตา...
ค่ำวันเดียวกัน บุปผาเริ่มปฏิบัติการวางยาคุณหญิงมณี แต่ยังไม่ทันเปิดขวดยาเยาะลงอาหารก็สะดุ้งเฮือกจนขวดหล่นจากมือ
“บุปผา...” นายพลเทพส่งเสียงก่อนเดินตรงมาหา บุปผาเหลือบมองขวดยาที่พื้นด้วยใจระทึก พอเห็นว่าท่านไม่สงสัยก็พยายามทำตัวปกติ ถามอย่างนอบน้อมว่า
“ท่านมีอะไรจะใช้บุปผาหรือคะ”
“นายสินเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ต้องกังวลนะบุปผา ฉันกับคุณหญิงไม่ทอดทิ้งเธอกับพี่ชายเธอแน่ นายสินรับใช้ฉันมาหลายปี ฉันกับคุณหญิงก็จะดูแลเธอกับพี่ชายเธอต่อไป”
“ท่านเมตตาบุปผากับพี่สินมากเลยค่ะ” บุปผาคุกเข่าลงพนมมือไหว้แล้วเงยหน้าประสานสายตากับท่านนายพล...ทั้งคู่ต่างรู้สึกดีต่อกันอย่างประหลาด ทันใดนั้นคุณหญิงมณีก้าวเข้ามาสีหน้าบึ้งตึงเพราะเข้าใจผิดคิดว่าบุปผาให้ท่านสามีของตน
“คุยอะไรกันอยู่คะ”
“อ๋อ...ผมกำลังถามเรื่องอาการนายสินอยู่น่ะ ผมบอกบุปผาไปแล้วว่าเราจะไม่ทอดทิ้งนายสิน”
คุณหญิงมณีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่ยังอดระแวงบุปผาไม่ได้ ขยับเดินเข้าไปหาสามีแล้วเหยียบขวดยาที่พื้นแตกละเอียด บุปผาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความเสียดาย
“อ้าว...คุณหญิงเหยียบโดนอะไรล่ะนั่น” นายพลเทพทักขึ้น
“สงสัยจะเป็นเศษแก้วน่ะค่ะ บุปผาเห็นมันตกอยู่ที่พื้นเมื่อกี้ กำลังคิดว่าเดี๋ยวยกสำรับเสร็จแล้วจะกลับลงมาเก็บไปทิ้ง กลัวว่าจะมีใครเหยียบเข้าแล้วจะยุ่ง จะบาดเท้าเอาเสียเปล่าๆ บุปผาว่าท่านกับคุณหญิงขึ้นเรือนก่อนเถอะค่ะ ตรงนี้บุปผาจัดการเองค่ะ”
เมื่อทั้งคู่ขึ้นเรือนไปแล้ว บุปผาลนลานหาผ้ามาเก็บเศษแก้วก่อนที่ใครจะมาเห็นและสงสัยว่ามันคือขวดอะไรกันแน่...
แล้ววันถัดมา บุปผาก็ตรงดิ่งไปบ้านตาเถาอีกครั้งโดยไม่บอกผกา พรวดพราดเข้าไปโดยไม่ฟังเสียงห้ามของนายถิ่น เลยได้เห็นภาพน่ากลัวที่ตาเถากรอกยาไอ้หลงแล้วมันชักดิ้นชักงอ น้ำมูกน้ำลายไหลเปรอะเลอะเทอะ บุปผาตกใจมากแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนสองคน ตาเถาโกรธมากสั่งน้องชายพาบุปผาออกไปเดี๋ยวนี้
ถิ่นลากบุปผาออกมาหน้าบ้านและไม่ยอมตอบคำถามที่เธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถามหญิงสาวว่ามาที่นี่อีกทำไม
“ฉันจะมาเอายาอย่างที่เคยเอาไปคราวที่แล้วน่ะ ขวดนั้นฉันทำตกแตก...พี่ชายจ๋า กลับเข้าไปขอยาจากตาเถาให้ฉันหน่อยเถอะ อย่าให้ฉันมาเสียเที่ยวเลยนะ”
“ฉันก็อยากจะเอามาให้หรอกนะ แต่มันต้องให้พี่เถาจัดมาให้”
“ไม่มีสำรองเลยเหรอ”
“ยาพรรค์นี้มันต้องทำขึ้นพิเศษ เอาอย่างนี้...ฉันจะบอกพี่เถาให้ อีกสองวันน้องสาวค่อยกลับมาเอา”
บุปผาหน้ามุ่ยกลับไปอย่างผิดหวัง ส่วนนายถิ่นกลับขึ้นเรือนมาก็โดนพี่ชายถีบเปรี้ยงแทบหงายหลังด้วยความโมโห
“เอ็งปล่อยให้นังผู้หญิงหยำฉ่าคนนั้นเข้ามาได้ยังไงวะ ข้ากำลังทดลองยาตัวใหม่กับไอ้หลงอยู่ ถ้านังนั่นมันรู้เรื่องแล้วเอาไปบอกตำรวจ เอ็งกับข้ามีหวังได้ติดตะรางกันหัวโตแน่”
“ก็ฉันไม่นึกว่ามันจะวิ่งพรวดพราดเข้ามานี่พี่ แหม...นังนี่มันไวยังกับปรอทเลย”
“เออ! ทีหลังก็อย่าประมาท นังนี่มันท่าทางร้ายน้อยอยู่เมื่อไหร่ล่ะ...ว่าแต่มันจะมาเอาอะไร”
ขณะที่นายถิ่นตอบคำถามพี่ชาย เป็นเวลาที่บุปผากำลังมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลเพื่อแสดงตัวเป็นน้องสาวแสนดีมาเยี่ยมนายสิน แต่พอมาถึงเธอก็ระบายอารมณ์ใส่เขาเพราะหงุดหงิดผิดหวังไม่ได้ดังใจเรื่องยาที่ต้องการ ทั้งหยิกทั้งทุบตีตามตัวนายสินไม่ยั้งมือ กระทั่งเหลือบเห็นหมอไอศูรย์เดินตรงมา ก็รีบปรับเปลี่ยนท่าทีอย่างแนบเนียน
“บุปผาเพิ่งมาค่ะหมอ เป็นห่วงพี่สินเหลือเกิน นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องทำงานที่บ้านบุปผาก็อยากจะมาเฝ้ามาดูแลพี่สินตลอดทั้งวันเลย”
“ไม่จำเป็นหรอกบุปผา ฉันสั่งให้พยาบาลที่นี่ดูนายสินอย่างดีอยู่แล้ว แล้วอีกสักสองวันก็คิดว่าจะอนุญาตให้พานายสินกลับไปดูแลกันต่อที่บ้านได้ แต่ก่อนที่จะให้พานายสินกลับบ้าน ฉันจะให้พยาบาลมาช่วยสอนวิธีดูแลนายสินให้กับบุปผานะ เพราะคนเจ็บอาการอย่างนี้ ต้องดูแลมากเป็นพิเศษนะ”
“ถึงจะดูแลมากแค่ไหนบุปผาก็ไม่กลัวหรอกค่ะหมอ พี่สินดูแลบุปผามามากแล้ว ถึงเวลาที่บุปผาจะได้ตอบแทนบุญคุณพี่สินบ้างแล้วค่ะ”
“เธอเป็นคนดีจริงๆบุปผา”
บุปผายกมือไหว้กระชดกระช้อย ไอศูรย์ยิ้มเอ็นดูแต่ไม่ได้สนใจมากไปกว่าที่ควร ทำให้สาวเจ้าผิดหวังและเจ็บใจที่ไม่สามารถมัดใจเขาได้เหมือนผู้ชายคนอื่นๆที่เธอเคยผ่านมา
เมื่อกลับออกมาหน้าโรงพยาบาลไม่นึกว่าจะเจอมุกเข้าอย่างจัง มุกประชิดตัวบุปผาจนหนีไม่ได้ แล้วคาดคั้นเป็นการใหญ่ว่าไปอยู่ไหนมา ทำไมแต่งตัวแบบนี้ หรือว่าจะชุบตัวใหม่ไม่ให้ใครรู้ว่าเคยเป็นผู้หญิงขายตัว บุปผาตกใจมากเพราะมุกพูดเสียงดังแถมยังตะโกนบอกใครต่อใครแถวนั้นให้ดูผู้หญิงขายตัวจากหอโคมแดง
ด้วยความโกรธสุดขีดกลัวความลับของตนรู้ถึงหูหมอไอศูรย์ บุปผาลากมุกหลบไปมุมหนึ่งแล้วจับหัวกดน้ำในอ่างอย่างไม่ปรานีจนมุกแน่นิ่งเกือบตาย!
ผกาเห็นสภาพมุกเยินกลับมาก็ตกใจมาก ซักถามจนรู้ความก่อนจะแอบมาต่อว่าบุปผาทำเกินกว่าเหตุ แสงผ่านมาเห็นทั้งคู่โดยบังเอิญ รู้สึกคุ้นหน้าผกามากจึงสะกดรอยตามกลับไปจนถึงหอโคมแดง แล้วย้อนกลับมาคาดคั้นเอาเรื่องบุปผาที่บ้านเทพบริบาลในตอนค่ำ
บุปผาตกใจมากเมื่อแสงรู้ความจริงหมดแล้วว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ซึ่งเธอยอมให้แสงปากโป้งไม่ได้แน่ จึงพลิกสถานการณ์ว่าตัวเองถูกแสงปลุกปล้ำ โดยตบตีทำร้ายตัวเองปากคอแตกแล้วตะโกนขอความช่วยเหลือเอ็ดตะโรไปหมด
นายพลเทพวิ่งมาถึงก่อนใคร ตามด้วยลูกเมียและบรรดาคนใช้ แสงถูกปรักปรำจนทำอะไรไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าบุปผาจะร้ายกาจถึงเพียงนี้
แผนของบุปผาสำเร็จลุล่วงหลังจากทำการสอบสวนกันไม่นาน เพราะเธอยืนยันทั้งน้ำตาและรอยฟกช้ำบนใบหน้าทำให้นายพลเทพเชื่อสนิท ถึงกับขับไล่แสงออกจากบ้านโทษฐานทำระยำในบ้านของตน
แสงกลับมาเก็บข้าวของในห้องพักและบ่นกับสร้อยอย่างเจ็บใจตัวเองที่เสียรู้นังงูพิษเข้าจนได้
“แล้วทำไมเอ็งถึงว่านังบุปผามันเป็นผู้หญิงหยำฉ่าล่ะ”
“ก็วันนี้ฉันพบมันอยู่กับแม่เล้าจากหอโคมแดงน่ะสิ ทีแรกฉันก็นึกไม่ออกหรอกว่ามันนัดเจอกับใคร ฉันเลยแอบตามนังแม่เล้านั่นไปจนถึงหอโคมแดง ฉันก็เลยเดาได้ว่านังบุปผามันต้องเคยเป็นผู้หญิงขายตัวที่นั่นมาก่อน”
“เอ็งเดาเอาเหรอเนี่ย โธ่เอ๊ย! ข้าก็นึกว่าเอ็งเคยขึ้นห้องกับมันมาก่อน”
“ไม่เคยหรอก แต่ฉันมานึกได้ว่าดาวเด่นประจำหอโคมแดงน่ะชื่อบุปผา แต่มันเลือกรับแต่แขกรวยๆ ฉันก็เลยไม่เคยได้ขึ้นห้องกับมัน แม้แต่หน้ามันก็ไม่เคยได้เห็น”
“เวร! หลักฐานอะไรก็ไม่มีสักอย่าง แล้วใครจะเชื่อคำพูดเอ็งได้วะไอ้แสง หนำซ้ำคนอื่นยังเป็นพยานให้มันอีกด้วยว่าเอ็งเคยจะปล้ำมันตั้งหลายครั้ง”
“แล้วแม่เชื่อฉันไหมล่ะ”
“ไม่รู้สิ.. แต่ไอ้สินมันคงไม่กล้าโกหกท่านกับคุณหญิงหรอกมั้ง ถ้าไม่ใช่น้องสาวจริงๆน่ะ”
“ขนาดแม่ยังไม่เชื่อฉันแล้วใครหน้าไหนมันจะเชื่อล่ะ แต่คอยดูเถอะ สักวันฉันจะฉีกหน้ากากนังตัวแสบนี่ให้ทุกคนได้เห็นว่าตัวจริงมันเป็นใคร”
เวลาเดียวกันนั้น คุณหญิงมณีกำลังต่อว่าสามีทำรุนแรงเกินไป แค่เด็กมีเรื่องทะเลาะกันถึงกับต้องไล่ออกจากบ้าน
“คุณก็รู้ว่าผมทนผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงไม่ได้”
“โดยเฉพาะทำร้ายแม่บุปผานี่ด้วยรึเปล่า”
“เอ๊ะ คุณนี่ถามแปลก คุณก็เห็นอยู่กับตาว่าบุปผาถูกไอ้แสงมันตบตีจนหน้าตาแตกขนาดนั้น ผมเป็นประมุขของบ้าน ถ้าไม่ตัดสินอะไรให้เด็ดขาดลงไป ผมก็คงเป็นประมุขของบ้านไม่ได้”
“แต่ดูคุณจะปกป้องแม่บุปผานี่มากเกินหน้าเกินตาไปหน่อยแล้วนะคะ”
“อย่าหึงผมไปหน่อยเลยน่าคุณหญิง ผมเห็นเด็กบุปผานั่นไม่ต่างอะไรไปจากลูกเราเลย”
คุณหญิงมณีปรี๊ดทันที เสียงดังขึ้นอย่างลืมตัว “ไม่ได้นะคะ คุณจะเห็นใครเป็นลูกเหมือนยายมัทไม่ได้ เราสองคนมีลูกแค่คนเดียวเท่านั้น”
“คุณหญิงเป็นอะไร ผมก็แค่พูดเปรียบเทียบเฉยๆ เพราะผมเห็นบุปผามันอายุไล่เลี่ยกับลูกมัท...ก็เท่านั้นเอง”
“ค่ะ แต่จำไว้นะคะ คุณมีลูกแค่คนเดียว อย่ายกคนอื่นขึ้นเทียมลูกเราเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นคุณกับฉันเป็นได้เห็นดีกัน!”
คุณหญิงเดินปังปึงออกไป นายพลเทพเริ่มกังวล...นี่ถ้าเธอรู้ว่าเขามีลูกซุกซ่อนไว้อีกคนจะเกิดอะไรขึ้น?
คืนเดียวกัน กำพลมาที่หอโคมแดง ฟังมุกบอกเล่าเรื่องเจอบุปผาและถูกทำร้ายเกือบตาย กำพลรับข้อมูลด้วยความสงสัยและตั้งใจว่าจะไปสืบข่าวต่อแถวโรงพยาบาล...
คุณหญิงมณีให้เงินแสงก้อนหนึ่งเอาไว้ใช้จนกว่าจะหางานใหม่ได้ สร้อยขอบพระคุณคุณหญิงที่เมตตาลูกชายตน...เมื่อแสงไปแล้ว คุณหญิงก็ซักถามสร้อยเรื่องนายพุ่มว่าได้ข่าวคืบหน้าอะไรบ้าง
“ไอ้พุ่มมันบอกว่าท่านนายพลใช้ลูกน้องให้ออกตามหาผู้หญิงชื่อผกา”
ฟังแล้วคุณหญิงยิ่งระแวง สั่งเฉียบขาดให้พุ่มสืบต่อ เธอต้องรู้ให้ได้ว่าผกาเป็นใครแล้วนายพลตามหามันทำไม?
ทางด้านบุปผา หลังกำจัดนายแสงไปพ้นบ้านเทพบริบาล...วันต่อมาหล่อนก็เดินหน้าเพื่อวางยาคุณหญิงมณี โดยย้อนกลับไปเอายาที่บ้านตาเถาอีกครั้งตามนัด แต่นึกไม่ถึงว่าสร้อยจะมาที่นี่ด้วย บุปผาได้ยาจากตาเถาแล้วรีบซ่อนตัวไม่ให้สร้อยเห็น พอสร้อยรับยาและจ่ายเงินเสร็จก็กลับทันที โดยไม่รู้ว่าบุปผาจับตามองตลอดเวลา แถมยังตามกลับมาแอบฟังสร้อยคุยกับคุณหญิงที่บ้านด้วย
สร้อยส่งยาให้คุณหญิงพร้อมกับบ่นให้ฟังว่าตาเถางกมากจะขึ้นราคาค่ายาอีกแล้ว
“มันเรียกเท่าไหร่ก็จ่ายให้มันไป”
“แต่สร้อยว่านี่มันก็เรียกเกินราคามาไม่รู้เท่าไหร่แล้วนะคะคุณหญิง มันคงย่ามใจว่าเราต้องอาศัยยาของมันไปตลอด”
“ก็ใช่อย่างที่มันคิดจริงๆนั่นแหละสร้อย ก็เพราะยาของตาเถานี่แหละที่ทำให้ท่านนายพลไปมีลูกกับผู้หญิงหน้าไหนไม่ได้อีกมาจนทุกวันนี้”
บุปผาได้ยินเต็มสองหู แล้วจู่ๆก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อมัทนาเดินมาทัก ในขณะที่คุณหญิงกับสร้อยก็หันขวับ...จ้องมองบุปผานัยน์ตาวาวโรจน์!
No comments:
Post a Comment