Friday, October 21, 2011

เรื่องย่อ เสาร์5 ทับทิมสยาม ตอน4 ละครช่อง7



เรื่ืงยย่อ เสาร์๕ ตอนทับทิมสมยาม  
1  เรื่องย่อละคร  เสาร์5 ตอนทับทิมสมยาม ดูละครย้อนหลัง ตอน 1  ช่  อ  ง   7    
2  เรื่องย่อละคร  เสาร์5 ตอนทับทิมสมยาม ดูละครย้อนหลัง ตอน 2  ช่  อ  ง   7    
3  เรื่องย่อละคร  เสาร์5 ตอนทับทิมสมยาม ดูละครย้อนหลัง ตอน 3  ช่  อ  ง   7    
4  เรื่องย่อละคร  เสาร์5 ตอนทับทิมสมยาม ดูละครย้อนหลัง ตอน 4  ช่  อ  ง   7    
5  เรื่องย่อละคร  เสาร์5 ตอนทับทิมสมยาม ดูละครย้อนหลัง ตอน 5  ช่  อ  ง   7    


ตอนที่ 4

แคนที่ใช้เป่าเป็นเพลงกลับกลายเป็นปืนกลยิงกราดใส่เปาชางและอาเตียวจนต้องโดดหนี เจนนี่ ยูกิ และชลดาเข้าไปหาชายที่ช่วยพวกตน

“ปืนคุณน่าทึ่งมาก ฉันไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน รูปร่างเหมือนแคน” ยูกิแปลกใจ

“บางครั้งใช้เป่า บางครั้งใช้เป็นปืนเมื่อจำเป็น”

ไม่ทันไร เปาชางโผล่ออกมาจากต้นไม้ยิงใส่พวกเจนนี่ เธอยิงสวนโดนเปาชางที่ไหล่เลือดสาด อาเตียวยิงโต้ เกิดการยิงใส่กัน ไม่นานอาเตียวก็ประคองเปาชางหนีหัวซุก หัวซุน เจนนี่โผล่มามอง ชลดากับยูกิค่อยๆออกมาสมทบ

“แล้วคนที่เป่าแคนล่ะ เมื่อกี้ยังอยู่นี่” ชลดามองไปรอบๆ

“บ้าที่สุด นึกอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป” เจนนี่สบถ

ทุกอย่างเงียบจนสามสาวเริ่มรู้สึกผิดปกติ เจนนี่ได้กลิ่นสาบ ทุกคนก้มดมตัวเองแล้วส่ายหน้าไม่ใช่ตน พลันยูกิเห็นเสือด้านหลังเจนนี่ ก็ตกใจชี้บอก แต่เจนนี่คิดว่าเพื่อน

ล้อเล่น ชลดาช่วยยืนยันว่าจริงๆเจนนี่จึงบอกเพื่อนๆว่าตนนับหนึ่งถึงสามแล้วจะหันไปยิงให้เพื่อนๆวิ่งหนีให้เร็วที่สุด พอนับถึงสองเสียงชายคนหนึ่งตะโกนว่า...อย่ายิง อยู่นิ่งๆชายคนนั้นเดินออกมาบอก

“ทุกคนค่อยๆถอยไปที่ต้นไม้ แล้วปีนขึ้นไป ผมทำที่พักไว้บนนั้น”

เสือคำรามแล้วย่อตัวพร้อมกระโจน สามสาววิ่งไปปีนต้นไม้ เสือกระโจนใส่ชายคนนั้น เขาหลบทันแล้วโดดขึ้นต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว เสือได้แต่แหงนมองคำรามอย่างขัดใจ ชายคนนั้นแนะนำตัวว่าเขาชื่อ เคน และบอกทุกคนอย่าเพิ่งลงไปเพราะเสือยังซุ่มอยู่

“พวกเราเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อแคน คุณหน้าเหมือนเขามาก ถามจริงๆเถอะ คุณเป็นอะไรกับแคน” ชลดาถาม

เคนไม่ตอบแถมโหนเถาวัลย์ออกไป สักพักเขาก็กลับมาพร้อมน้ำในกระบอกไม้ไผ่และผลไม้ ชลดาถามย้ำอีกครั้งว่าเขาเป็นอะไรกับแคน

“ผมเป็นน้องของแคน เราเป็นคู่แฝด เราเกิดและโตมาด้วยกันที่หมู่บ้านกลางป่า จนกระทั่งวันที่พวกโจรเข้ามาปล้นหมู่บ้าน พ่อกับแม่พาพวกเราหนี แต่ผมตามไม่ทันจึงหลงอยู่กลางป่าจนมีชาวบ้านเก็บไปเลี้ยง”

“แล้วคุณรู้มั้ยว่าแคนเขา...” ชลดาพูดไม่ออก เคนตอบแทนว่า ตายแล้วใช่ไหม ชลดาพยักหน้าแล้วถามว่ารู้ได้อย่างไร

เคนยิ้มๆไม่ตอบ สามสาวรู้สึกว่าเคนทำตัวลึกลับมาก เจนนี่จึงขอให้เคนพาพวกตนไปสุสานช้าง เคนอึ้งเพราะไม่มีใครอยากไปที่นั่น เขาโหนเถาวัลย์ออกไปอีกครั้ง...

แผลที่เปาชางโดนยิง เลือดไหลจนเขาอ่อนเพลีย

อาเตียวประคองเดินมาจนถึงริมน้ำ เปาชางไปต่อไม่ไหว

อาเตียวบอกให้แข็งใจหน่อยเพราะกลิ่นเลือดจะทำให้เสือตามมา ไม่ทันขาดคำเสียงเสือคำราม อาเตียวสะดุ้งทิ้งเปาชางตกน้ำลอยไป ตัวเองวิ่งเตลิดข้ามน้ำไปอีกฝั่ง

ooooooo

อภิชัย เชษฐ์ และอาจณรงค์เข้าประชุมกับกลุ่มเสาร์ห้า ต้องแปลกใจที่เหลือเพียงยอด กริ่งและเทอดเท่านั้น เทอดรายงานว่าทุกคนไม่ได้เหลวไหล เพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ กริ่งรายงาน

“ตอนนี้นาตาชา เริ่มเปิดเผยตัวจริงของเธอออกมาแล้วว่าเธอต้องการอะไรจากเรา...เจนนี่รายงานมาว่า นาตาชาได้ใช้เวทมนตร์ครอบงำ คุณดอน คุณเดี่ยว กระแต และบุษกร เพื่อต้องการใช้งาน และตอนนี้พวกเขาก็พากันมุ่งหน้าไปยังป่าสุสานช้าง พิกัดที่เครื่องบิน ดร.ฟอร์ดตก”

อภิชัย เชษฐ์ และอาจณรงค์สงสัยว่าต้องเกี่ยวกับการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ ยอดขออนุญาตให้เขาสามคนดูแลภารกิจนี้ อภิชัยอนุญาตและหวังว่าพลังความดีของเสาร์ห้าจะเอาชนะเรื่องเลวร้ายนี้ได้อีกครั้ง

สามหนุ่มเสาร์ห้าที่เหลือ เตรียมสัพเพเหระเดินทางเข้าป่า อาจณรงค์ขับรถมาส่งชายป่าด้วยตัวเอง...

นายพลจางลี่เล่นงานอาเตียวที่ทิ้งเปาชางหลานชายไว้ในป่าทั้งที่บาดเจ็บ สั่งให้กลับไปตามหา ถ้าไม่พบไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้า...ขณะเดียวกัน ม่านฟ้ากับบัวชุมสะกดรอยตามกลุ่ม ดร.วิทยา ม่านฟ้าเห็นเดี่ยวก็จำได้ว่าคือคนที่เคยช่วยตนกับบัวชุมในงานแสดงอัญมณี จึงชักไม่แน่ใจว่าเดี่ยวเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่

ดร.วิทยาเริ่มไม่เชื่อใจว่านาตาชาเดินมาถูกทาง

นาตาชาเล่นลิ้นว่าเขาไม่มีทางเลือก

“มีเธอเป็นตัวประกัน ยังไงฉันก็ถือไพ่เหนือกว่าวันยังค่ำ” ดร.วิทยาโต้

“คิดว่าพ่อจะรักฉันมากกว่าทับทิมสยามงั้นเหรอ” ท่าทางนาตาชาพูดด้วยความน้อยใจ “คนอย่าง ดร.ฟอร์ดน่ะ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการทดลองของเขาหรอก”

วิทยาไม่เชื่อ ดอนกับเดี่ยวกระซิบกันว่า ที่นี่ดูแปลกๆและมองเข็มทิศในมือซึ่งวิ่งรวนไม่รู้ทิศรู้ทาง นาตาชา เข้ามาดูด้วยคนแล้วรู้สึกว่า คงเข้าเขตภาพลวงตาอย่างที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง มองไปรอบๆเหมือนมีมิติซ้อนอยู่ พยายามเงี่ยหูฟังก็ไม่มีเสียงนกเสียงแมลงอย่างเคย เดี่ยวนิ่งฟังเห็นจริง

“ถ้างั้นก็ใช่ จากนี้ไประวังตัวให้ดี ถ้าฉันไปไหน คุณสองคนต้องตามให้ทัน อย่าห่างฉัน”

“ครับ นาตาชา” ดอนกับเดี่ยวรับคำพร้อมกัน

“พวกเรากำลังอยู่ในเขตอาถรรพณ์ภาพลวงตา”

นาตาชาบอกสองหนุ่มเริ่มระวังตัว...

ม่านฟ้ากับบัวชุมก็เริ่มรู้สึกว่ารอบๆตัวแปลกไป เหมือนมีคนจ้องมอง ม่านฟ้าเตือนบัวชุมว่าลางสังหรณ์ของตนเตือนให้ระวังอันตราย...เสือสนธิ์กับอินทร์เริ่มตาฝาดเห็นอะไรต่ออะไรเคลื่อนไหว จึงช่วยกันส่องกล้องมอง พลันก็ได้เห็นกองกำลังทหารญี่ปุ่น ดร.วิทยาได้ยินมองออกไปบ้าง เขาก็เห็นเช่นกัน รีบสั่งฮวงกับลูกหาบหยิบปืนพร้อมสู้ เสียงกระสุนสาดยิงมา เกิดการยิงตอบโต้กัน ม่านฟ้าได้ยินเสียงแปลกใจเพราะมองไปไม่เห็นมีฝ่ายตรงข้าม บัวชุมดึงม่านฟ้าให้หลบหนี แต่แล้วม่านฟ้าก็เห็นหนานคำปรากฏตัวขึ้น บัวชุมรีบบอก

“ไอ้หนานคำมันตายไปแล้วนี่คะคุณหนู”

“ก็นั่นไง มันเดินมาแล้ว”

“ไอ้หนานคำมันเป็นผีหรือเปล่าคะคุณหนู”

ม่านฟ้าเห็นหนานคำเข้ามาทำร้ายตน จึงชักมีดมาแทง แต่หนานคำแค่ชะงัก ดึงมีดออกไม่เป็นอะไร บัวชุมเริ่มเห็นอย่างที่ม่านฟ้าเห็น เข้าไปช่วยดึงม่านฟ้าหนี หนานคำค่อยๆเลือนหายไป

ดอน เดี่ยว และนาตาชาพากันหลบหลังต้นไม้ แต่ทั้งสามไม่เห็นกองกำลังทหารญี่ปุ่น สักพักก็ค่อยๆเห็น ดอนแปลกใจที่เหมือนทหารญี่ปุ่นโบราณ ทั้งอาวุธก็ดูโบราณ

นาตาชาเตือนทั้งสองคนว่า นั่นไม่ใช่เรื่องจริงเป็นภาพลวงตา ดร.วิทยาร้องบอกนาตาชาให้พากันมาหลบตรงพวกเขา อินทร์เสนอให้ถอย เสือสนธิ์เห็นด้วย ระหว่างที่พากันวิ่งหนี ทุกคนได้ยินเสียงระเบิดไล่หลัง ต่างก็หนีเอาตัวรอด นาตาชาเห็นเป็นจังหวะที่เธอกับดอน เดี่ยวจะหนีแยกตัวออกไป

อินทร์ เสือสนธิ์กับลูกน้องช่วยกันยิงตอบโต้ทหารญี่ปุ่น แต่พวกมันดูจะมากขึ้น อินทร์จึงบอก ดร.วิทยา “เราต้านไม่อยู่แน่ รีบหนีก่อนที่พวกมันจะบุกเข้ามาถึงตัว”

พอรู้ว่านาตาชาหนีไป ดร.วิทยาสั่วฮวงไปลากตัวกลับมาให้ได้...สามคนพากันหนีมามุมหนึ่ง นาตาชาบอกดอนกับเดี่ยวว่า ต้องหาเจดีย์ให้เจอ สองคนแปลกใจที่มีเจดีย์ในป่า ไม่ทันไรฮวงกับพวกตามมาไล่ยิง แต่แล้วก็สู้ดอนกับเดี่ยวไม่ได้ แถมนาตาชายังเป็นมวย เธอต่อสู้ ฮวงจึงผลักเธอแทบตกหน้าผา ดอนกับเดี่ยวจัดการฮวงกับลูกน้องกระเจิง เดี่ยวปาระเบิดไล่หลัง

นาตาชาร้องให้ช่วยด้วย เพราะตนเกาะรากไม้ริมหน้าผาอยู่ ดอนกับเดี่ยวช่วยกันดึงเธอขึ้นมา ทันใด...

นาตาชาเห็นเจดีย์ร้างอยู่กลางป่าโน่น ดอนและเดี่ยวมองด้วยความทึ่ง...ทั้งสามพากันเดินตัดตรงไปยังเจดีย์ร้างนั่น ยิ่งใกล้บรรยากาศของป่าก็เริ่มแปลกไป มีภาพซ้อนขึ้นมา ดอนสะกิดถามเดี่ยวว่าเห็นอะไรบ้างไหม ต่างอธิบายสิ่งที่เห็นไม่ถูก นาตาชาจึงเตือน
“ที่นี่คือเขตภาพลวงตา พลังงานบางอย่างทำให้บรรยากาศบริเวณนี้เต็มไปด้วยมิติที่ซ้อนทับกันอยู่ เหมือนแถวสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าหรือไม่ก็ทะเลปีศาจของญี่ปุ่น”

“แล้วทหารญี่ปุ่นที่เราเห็นเมื่อกี้ล่ะ” เดี่ยวถาม

“พลังงานที่อยู่ในเขตภาพลวงตา จะดึงเอาจิตใต้สำนึกออกมาสร้างเป็นภาพเสมือนจริง กองทัพทหารนั่นก็คือภาพลวงตาจากจิตใต้สำนึกของใครสักคนนึงในกลุ่ม ดร.วิทยา ซึ่งเมื่อคนหนึ่งเห็น ภาพจะชัดขึ้น แล้วทำให้คนที่อยู่ใกล้เคียงพลอยเห็นไปด้วย”

“แล้วอาวุธ กระสุนปืนที่พวกทหารญี่ปุ่นยิงมา มันเหมือนของจริง...” ดอนสงสัย

“ฉันกับพ่อศึกษาเรื่องแบบนี้มามาก จนแน่ใจว่ามีแต่พลังงานจากทับทิมสยามสีม่วงเท่านั้นที่จะสร้างภาพลวงตาแบบนี้ขึ้นมาได้ และนี่ก็คือหน้าที่ของพวกคุณที่ต้องมา

ช่วยฉันค้นหาทับทิมสยามสีม่วง”

ดอนกับเดี่ยวอึ้ง นาตาชาพาสองหนุ่มเดินตรงไปที่เจดีย์ มันโผล่ยอดออกมาจากพุ่มไม้ พลัน...มีเงาคนปรากฏขึ้น นาตาชาชะงัก ดอนกับเดี่ยวกระชับปืนในมือ เงานั้นค่อยๆชัดขึ้นเป็น ดร.ฟอร์ด นาตาชาดีใจวิ่งเข้าไปหา แต่สีหน้า ดร.ฟอร์ดดูดุดัน เขาต่อว่าเธอทำให้งานเขาล่าช้าไป เธอพยายามบอกว่า ดร.วิทยากักตัวไว้ แต่ ดร.ฟอร์ดไม่ฟังกลับตวาด

“กี่ครั้งแล้วที่การทดลองของฉันล้มเหลวเพราะแก แกเกิดมาทำไม แกเป็นลูกที่ฉันไม่ต้องการ แกมันสมควรตาย นาตาชา” ดร.ฟอร์ดบีบคอนาตาชาจนล้มลง แล้วชักปืนมาเล็ง

ดอนกับเดี่ยวรู้สึกว่ามันรุนแรงเกินพ่อลูกแล้ว จึงเข้าไปแย่งปืน เกิดการต่อสู้กัน ปืนลั่นถูก ดร.ฟอร์ดทรุดลง ดอนตกใจเพราะปืนอยู่ในมือเขา แต่แล้ว ดร.ฟอร์ดกลับล้วงเข้าไปดึงลูกกระสุนออกจากลำตัว ปรี่เข้าจะฆ่านาตาชา เธอเริ่มรู้แล้วว่านี่คือภาพลวงตา

“หนีเร็ว นั่นไม่ใช่เรื่องจริง มันคือภาพลวงตา” นาตาชา ร้องบอกดอนกับเดี่ยว

สองหนุ่มรีบตามนาตาชาไป เธอเห็นแสงแดดส่องไปที่เจดีย์ นาตาชาบอกสองหนุ่ม “เราต้องรอเงาเจดีย์ทอดลงมาที่พื้น ตามมาเร็ว เดินตามเงาของเจดีย์อย่าหลุดออกจากเงาเด็ดขาด”

“มันเป็นปรากฏการทางวิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์กันแน่” ดอนชักสงสัย

สักพัก บรรยากาศดูสดใสแตกต่างจากเมื่อครู่ ร่างนาตาชา ดอน และเดี่ยว เหมือนหลุดพ้นจากเขตภาพลวงตา ไม่ทันไรท้องฟ้าแปรปรวนอีกเมฆฝนลอยมารวมตัวอย่างรวดเร็ว ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา เดี่ยวบอกให้รีบไปหลบในเจดีย์...ข้างในเจดีย์ มีพระพุทธรูปเก่าปางห้ามญาติองค์หนึ่งตั้งเด่นเป็นสง่า ดอนรับรู้ถึงพลังบางอย่างในนี้ เขาไม่สามารถมองทะลุออกไปได้ เดี่ยวก็รู้สึกเช่นกัน ทั้งสองไม่อาจใช้พลังพิเศษได้ ดอนเห็นมีบันไดเล็กๆที่ใช้ปีนขึ้นไปบนยอดเจดีย์

“เราลองขึ้นไปดูข้างบนกันมั้ย” ดอนชวน นาตาชาจะตามไปด้วย

เดี่ยวห้ามไว้ “คุณเป็นผู้หญิง ไม่ควรที่จะปีนขึ้นไปอยู่บนที่สูงเหนือพระประธาน”

นาตาชาจึงรอด้านล่าง สองหนุ่มปีนขึ้นไปจนถึงช่องออกไปด้านนอกเจดีย์ เดี่ยวเห็นข้างนอกก็มีบันไดขึ้นไปอีก ทั้งสองจะปีนต่อไปจนถึงยอด เดี่ยวได้ยินเสียงบางอย่างรีบบอกดอนว่า

“ดอน ฉันได้ยินเหมือนเสียงงู”

ดอนจึงเพ่งสายตาทะลุออกไป เห็นงูเห่าขดตัวอยู่ข้างบันได มันแผ่เบี้ยพร้อมจะฉก จึงบอกเดี่ยวให้อยู่นิ่งๆ 

ทั้งสองรอจังหวะพองูฉกลงบนมือเดี่ยวซึ่งดึงมือหลบทันจึงไถลลง ดอนเข้าดันตัวเดี่ยวไว้ แผ่นดินเริ่มไหว มีอิฐหินร่วงกราวลงด้านล่าง สองหนุ่มรีบปีนกลับลงมา พานาตาชาวิ่งหนีออกจากใต้ฐานเจดีย์ ภายนอกบรรยากาศมืดครึ้ม ฟ้าคะนอง สามคนวิ่งเซไปมาเนื่องจากแผ่นดินไหว แล้วก็ล้มลงท่ามกลางเศษอิฐหินร่วงหล่น ฝุ่นฟุ้งกระจาย

พักใหญ่ ทุกอย่างหยุด ท้องฟ้าสว่างขึ้น ดอนถามนาตาชาว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน ไม่ทันไรก็มีกลุ่มคนมากมาย อาวุธครบครันล้อมพวกเขา นาตาชามองไปรอบๆเห็นชายคนหนึ่งแหวกออกมาจากกลุ่มคน เขาคนนั้นคือ ดร.ฟอร์ด นาตาชาตะลึง แต่ยังหวาดๆว่าเป็นภาพลวงตา

“นี่แกจำพ่อไม่ได้หรือไง” ดร.ฟอร์ดถามลูกสาว

สตีเฟ่นตามเข้ามา นาตาชาถามว่าใช่พี่กับพ่อจริงหรือ สตีเฟ่นเข้ามาดึงน้องสาวถามว่ากลัวอะไร นาตาชาจึงเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ฟัง ดร.ฟอร์ดมองดอนกับเดี่ยว ทั้งสองแนะนำตัว

ดอนกับเดี่ยวถูกพามาที่แคมป์ เขาต้องทึ่งเมื่อเห็นที่นี่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทุกอย่าง แม้กระทั่งจานดาวเทียมและมีสัญญาณโทรศัพท์พร้อมทำงานได้ทุกอย่าง

“แต่พวกคุณ ห้ามใช้โทรศัพท์ ห้ามติดต่อกับคนภายนอก ทุกอย่างที่นี่เป็นความลับ”

นาตาชาบอกสตีเฟ่นว่า ทีมของเสาร์ห้ากำลังพาซัมดองมาที่นี่ี่ ต้องมีคนออกไปรับ ดร.ฟอร์ดจึงให้สตีเฟ่นเป็นคนไปรอรับ เดี่ยวให้เบอร์โทร.ของบุษกรเพื่อหาพิกัด สตีเฟ่นป้อนข้อมูลเข้าคอมฯสักครู่ก็รู้ว่า ประมาณพรุ่งนี้คงมาถึง ดร.ฟอร์ดชื่นชมความสามารถของลูกชาย ทำให้นาตาชารู้สึกน้อยใจที่พ่อไม่เคยชมตนบ้างเลย ทั้งที่ตนเอาดอนกับเดี่ยวมาเป็นพวกได้

ooooooo

ฮวงพาพรรคพวกที่บาดเจ็บกลับมาให้เสือสนธิ์ กับอินทร์ปฐมพยาบาล ดร.วิทยาต่อว่าที่ปล่อยให้

นาตาชาหนีไปได้ ฮวงว่าพวกนั้นไม่ธรรมดา แถมนาตาชาก็เป็นมวย

ในขณะที่ม่านฟ้ากับบัวชุมหลงป่า เดินวนไปวนมา จนมาถึงริมลำธาร ทั้งสองพบร่างเปาชางที่บาดเจ็บสลบไสลริมนํ้า ด้วยมนุษยธรรมจึงยอมช่วยทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นคนดีหรือคนร้ายกันแน่ เปาชางฟื้นขึ้นมาพบว่า ม่านฟ้ากำลังทำแผล ให้ และบัวชุมก่อไฟ เปาชางรู้สึกชอบม่านฟ้า พอถูกถามว่า ไปโดนอะไรมา จึงโกหกว่าตนจะกลับบ้านฝั่งโน้น แต่โดนปล้น ม่านฟ้าหลงเชื่อ

ขณะเดียวกัน ยอด เทอด และกริ่ง แกะรอยจนพบรอยเท้าที่ปรากฏอยู่ในป่า

“ทำไมส่วนใหญ่เป็นรอยเท้าผู้ชาย น่าจะมีไม่ตํ่ากว่าสิบคน” เทอดสันนิษฐาน

“ไม่มีรอยรองเท้าผู้หญิงเลยเหรอคุณเทอด” ยอดถาม

กริ่งสังเกตเห็นรอยเท้าผู้หญิงสามคน สงสัยจะเป็นเจนนี่ ชลดา และยูกิ มุ่งหน้าไปทางเหนือ จึงคิดจะตาม แต่ไม่ทันจะไป ยอดได้ยินเสียงคน เทอดก้มลงเอาหูแนบพื้นฟัง บอกให้หลบกลุ่มสตีเฟ่น ราฮีม และลูกน้องประมาณสิบคนเดินมา ในมือสตีเฟ่นมีเครื่องจีพีเอสแบบมือถือ

“มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์อ่อนๆอยู่ห่างไปไม่เกินสองกิโล” สตีเฟ่นเอ่ยขึ้น

“ไม่รู้พวกไหน เอ็งสองคนไปทางนี้อย่าส่งเสียง” ราฮีมสั่งลูกน้อง

เทอด ยอด กริ่งกระซิบถามกันว่า พวกนี้จะไปไหน เทอดให้ตามไป...จนพบบุษกรกับกระแตเดินหาสัญญาณโทรศัพท์อยู่ พวกสตีเฟ่นเข้ามาจะปลดอาวุธสองสาว แต่สองสาวต่อสู้ ยอด เทอด และกริ่งตามมาเห็น ยอดจะเข้าไปช่วย แต่เทอดรั้งไว้ เพราะเห็นซัมดองนั่งทำสมาธิอยู่ห่างๆ กระแตร้องให้อาจารย์ช่วย พอสตีเฟ่นเห็นซัมดองจึงปล่อยตัวสองสาวเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่ม

“ผมชื่อสตีเฟ่น ยินดีที่ได้รู้จักครับ และผมต้องขอโทษที่เราเข้าใจผิด”

สองสาวตาขวางใส่ ราฮีมเตือนให้ทุกคนรีบกลับ พวกยอดแอบตามไปอย่างเงียบๆ...ท้องฟ้าใกล้มืด สตีเฟ่นสั่งพักระหว่างทาง สตีเฟ่นนำอาหารมาให้ซัมดอง

“ข้าไม่กิน”

“จริงสิ ผมลืมไปว่า...”

ซัมดองยกมือให้สตีเฟ่นหยุดพูด แล้วบอกว่ามีคนตามมา เป็นชายสามคนอยู่ในพุ่มไม้ใหญ่ สตีเฟ่นส่งสัญญาณบอกราฮีม ขณะเดียวกัน ลูกน้องราฮีมเข้ามากะลิ้มกะเหลี่ยบุษกรกับกระแต แต่ถูกสองสาวจับทุ่มจนหงอ พรรคพวกเห็นแล้วเข็ดขยาดกลับออกไป ยอดเห็นจังหวะปลอดคน ดอดเข้ามาหากระแต สองสาวตกใจถามมาได้อย่างไร

“ก็เห็นพวกคุณหายไป ผม คุณเทอด คุณกริ่งเลยมาตาม”

บุษกรถามว่าสองคนนั่นอยู่ไหน ยอดชี้ว่าหลบอยู่ด้านโน้น กระแตพยักหน้าให้สัญญาณบุษกรไปบอกสตีเฟ่น ยอดถามว่าจะไปไหน กระแตรีบบอกว่า ให้เราอยู่กันลำพังไง

“ผมอยากให้คุณกับบุษกร หนีออกมาจากคนพวกนี้ มันอันตราย”

กระแตเข้าเคล้าเคลียยอด หว่านเสน่ห์อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ยอดรู้สึกแปลกใจ

“กระแต นี่คุณปกติดีหรือเปล่า”

“ยอด คุณกลัวอะไร คุณลืมความรักที่เรามีต่อกันแล้วเหรอ”

ยอดรู้สึกว่ามีคนมาจะหลบแต่กระแตกลับจับเขาไว้ “คิดว่าจะหนีง่ายๆเหรอ”

“นี่มันอะไรกัน กระแต”

“แกเป็นศัตรู ฉันต้องกำจัดเสาร์ห้าทุกคน”


ยอดตกใจ บุษกรนำสตีเฟ่น ราฮีมกับพวกเข้ามา ยอดรีบโดดหนีเข้าป่า พวกราฮีมยิงไล่หลัง กริ่งกับเทอดตกใจลุกขึ้นมองเห็นยอดวิ่งหนีมา เทอดนำกริ่งกับยอดหลบบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่มีร่มเงามืดครึ้มใช้ร่างบังไว้ ทำให้สตีเฟ่น ราฮีมกับพวกตามมาไม่เห็น ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวตรงไหนก็ยิงกราดเข้าไป ปรากฏเป็นนกแตกฮือออกมา ยอดอยากจะยิงสวนแต่เทอดห้าม ควรเก็บกระสุนไว้ กริ่งถามพวกเราจะเอาอย่างไร

“เราจะใช้วิชาของเราหลอกล่อพวกมันดีกว่า” เทอดเสนอ

“ฟังแล้วน่าสนุก โอเค งั้นเราแยกกัน” ยอดชักมัน ต่างแยกย้ายไปคนละทาง

กริ่งวิ่งฉิวออกไปทางหนึ่ง เทอดหายตัวไป เหลือยอดที่ต้องรีบแทรกตัวเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ ทำให้สตีเฟ่นกับพวกไม่เห็นใคร ทั้งที่เมื่อสักครู่ได้ยินเหมือนคนคุยกัน เทอดกับกริ่งที่ออกไปล่อทำเสียงให้พวกสตีเฟ่นไล่ยิง กริ่งเริ่มอ่อนแรงทรุดลงกับพื้นหอบตัวโยน พวกราฮีมใกล้เข้ามา เทอดต้องเข้ามาช่วยทำเสียงให้พวกนั้นหันมาสนใจแล้วหายตัวแวบไปโผล่อีกทาง ยอดออกจากต้นไม้มาดึงกริ่งไปหลบหลังต้นไม้ สักพักเทอดมาปรากฏตัว ทั้งสามเริ่มอ่อนแรง

“ขอบใจมากเทอด ยอด ที่ช่วยฉันไว้” กริ่งยิ้มให้เพื่อนๆ

“พวกเราใช้พลังกันมากไป” เทอดเองก็เหนื่อย

สตีเฟ่นมาขอซัมดองให้หาวิธีจัดการ ซัมดองแนะปล่อยให้พวกมันตายใจ ได้โอกาสเมื่อไหร่ค่อยจัดการ สตีเฟ่นกับพวกจึงแยกย้ายกันไปพัก ซัมดองหยิบดวงตาสวรรค์ออกมาร่ายมนตร์เห็นอดีตของสามคนตั้งแต่ในวัยเด็ก จนเห็นอาจารย์ลุ๊กเสกพระประจำตัวเข้าร่างแต่ละคน

“ที่แท้ก็พวกเสาร์ห้า ดี...สักวันอำนาจพุทธคุณที่อยู่ในตัวพวกมันจะต้องมาเป็นของข้า” ซัมดองแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม

ooooooo

ในความฝันของเคน เขาฝันว่าแคนพี่ชายฝาแฝดของเขามาปรากฏตัว และบอกเขาว่า ดวงวิญญาณบรรพบุรุษของพวกเราถูกขังอยู่ในลูกแก้ว มีเขาคนเดียวที่จะช่วยให้พ้นจากการทรมานนั่นได้ เคนเห็นวิญญาณร้องครวญครางอยู่ในลูกแก้ว...เคนกระสับกระส่ายจนสะดุ้งตื่น เห็นเจนนี่นั่งมองเขาอยู่ เธอถามเขาว่า ฝันร้ายหรือ เคนลุกหนีไปอย่างรู้สึกเสียหน้า

เจนนี่ตามมาขอโทษว่าตนพูดอะไรผิดไป เคนส่ายหน้าไม่มีอะไร เจนนี่อึดอัด จึงบอกว่า

“คุณคงไม่พอใจที่พวกฉันอยู่ที่นี่ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พวกฉันจะไป ขอบคุณมากที่ช่วยฉันกับเพื่อนๆไว้” พูดจบเจนนี่เดินกลับไป เคนมองตามอย่างครุ่นคิดว่าควรช่วยเธอหรือปล่อยไปดี...

วันรุ่งขึ้น เจนนี่ ชลดา และยูกิเตรียมตัวเดินทาง เคนหายตัวไป สามสาวเป็นห่วงเกรงจะถูกเสือคาบไป แต่เจนนี่คิดอีกอย่าง ดูเคนไม่ค่อยพอใจที่พวกตนมาพักที่นี่ จึงบอกให้เดินทางกันเลยดีกว่า จำได้ว่าต้องไปทางเหนือ พอเริ่มออกเดิน ก็มีเสียงเคนดังขึ้น สามสาวหยุดหันไปมอง

“เคน คุณหายไปไหนมาทั้งคืน” ชลดารีบถามเมื่อเห็นเคนเดินมา

“ป่าคือบ้านของผม ที่ผมกลับมาเพราะเป็นห่วงพวกคุณ”

ยูกิจึงขอให้เคนพาพวกเธอไปป่าสุสานช้าง เคนตอบตกลงแต่ยังวางฟอร์มว่าเขาเดินเร็วให้เดินตามให้ทัน

ooooooo

อาการของเปาชางดีขึ้น เขารู้สึกชอบม่านฟ้ามากจึงคิดปลุกปล้ำ บัวชุมเข้ามาช่วยเอาไม้ฟาดหัวแล้วพาม่านฟ้าวิ่งหนีไป ม่านฟ้าเสียใจที่ไว้ใจคนชั่ว บัวชุมปลอบ

“คุณหนูคือเชื้อสายของเจ้าชีวิต บัวชุมต้องจงรักภักดี ไม่ว่าคุณหนูจะตกทุกข์ได้ยากยังไง บัวชุมก็ทิ้งคุณหนูไม่ได้”

“บัวชุมคือครอบครัวของฉัน ชีวิตฉันเหลือบัวชุมเพียงคนเดียว” ม่านฟ้ากอดบัวชุมร้องไห้

“ไม่ค่ะ บัวชุมไม่ตีเสมอนาย ขอบัวชุมเป็นแค่ข้ารับใช้ก็เป็นบุญหัวกับวงศ์ตระกูลแล้วค่ะ คุณหนูต้องเข้มแข็ง สักวันคุณหนูจะต้องเป็นผู้นำของชาวเชียงรุ้งที่เหลืออยู่ อย่าร้องไห้ค่ะ”

ม่านฟ้าปาดน้ำตา รับปากจะไม่ทำให้บัวชุมผิดหวัง ตนจะเอาทับทิมสีม่วงกลับมาให้ได้ สองคนเห็นเจดีย์กลางป่า ต่างมุ่งหน้าไปที่นั่น...เปาชางโซซัดโซเซมาตามทางในป่า จนได้พบกับพวกอาเตียว แล้วพาเขากลับไปที่พักนายพลจางลี่

กลุ่มของสตีเฟ่นที่พาบุษกร กระแต และซัมดองมุ่งหน้าไปสุสานช้าง ก็เริ่มพบกับภาพลวงตา โดยจิตใต้สำนึกของกระแตสร้างเป็นภาพขึ้น มีเสียงดนตรีแบบอีสาน ปราสาทหินแบบขอมปรากฏขึ้น หญิงสาวนุ่งซิ่นแบบอีสานมาร่ายรำฟ้อนกันตรึม พวกนางฟ้อนเข้ามาดึงกระแตกับบุษกรเข้าไปในปราสาท แล้วออกมาในชุดนางรำ สตีเฟ่น ราฮีม และลูกน้องต่างหลงใหล สาวๆนางรำ ยอด เทอด และกริ่งที่ตามมา แปลกใจว่านางรำพวกนั้นมาจากไหน ยอดเศร้าใจที่เห็นกระแตมีท่าทียั่วยวนผู้ชายเหล่านั้น

ซัมดองรู้ดีว่านี่คือภาพลวงตา จึงเรียกสตีเฟ่นให้สติคืนมา ใช้ไม้เท้าร่ายมนตร์ออกไป

“ตั้งสติไว้ อย่าหลงกลภาพลวงตา”

“จริงสิ นี่มันภาพลวงตา ผมเผลอไป”

“รีบพาทุกคนเดินทางต่อ” ซัมดองร่ายมนตร์ให้ทุกคนคืนสติ ยกเว้นกระแตกับบุษกร

สตีเฟ่นเข้าไปดึงสองสาวออกจากกลุ่มนางรำ ทันใด... นางรำเหล่านั้นก็กลายร่างเป็นฝูงปีศาจ สองสาวคืนสภาพเดิมพยายามวิ่งหนีให้พ้น จนเข้าเขตเงาเจดีย์ ก็เหมือนข้ามมาอีกมิติหนึ่ง ยอด เทอด และกริ่งที่ตามมาใกล้ๆไม่ทันได้เข้าไปในเงาของเจดีย์ จึงโดนฝูงปีศาจรุมทึ้ง

“ข่าวดีว่ะ ทำอะไรมันไม่ได้เลย” เทอดบอกเพื่อนๆ

“มีข่าวจะบอกเหมือนกัน กระสุนก็ทำอะไรมันไม่ได้เลย” กริ่งบอกเช่นกัน

ยอดเข้ามารวมตัวกับเพื่อนๆ เทอดให้แยกกันตัวใครตัวมัน กริ่งจึงวิ่งจู๊ดไป เทอดหายตัวแวบ เหลือยอดที่ไม่รู้จะแทรกตัวเข้าไปไหนดี ปีศาจรุมทึ้งเขา ยอดจึงต้องมุดออกหว่างขาพวกผี แล้ววิ่งหนีจนมานั่งเหนื่อยหอบอยู่ข้างเจดีย์ เทอดกับกริ่งตามมาสมทบ

“พวกนั้นหายไปหมดแล้ว เอาไงกันดี” เทอดท่าทางหมดพลัง

“ยังไงก็ต้องตาม แต่รอให้ผีพวกนั้นเผลอก่อนดีไหม” กริ่งเสนอ

“ดี ฉันเหนื่อยเต็มทนแล้ว ขอพักก่อน” ยอดเห็นด้วย

ทั้งสามจึงหามุมนอนพัก ไม่ทันไร จิตใต้สำนึกของยอดสร้างภาพกิ้งก่ายักษ์ขึ้นมา กริ่งได้ยินเสียงนึกว่าช้างมา เพราะใกล้บริเวณสุสานช้าง แต่พอทุกคนลุกมองเห็นกิ้งก่ายักษ์ก็ตกใจพากันมุดหลบเข้าซอกหิน กิ้งก่าแลบลิ้นเข้าไปควานตัว ตวัดได้ตัวเทอดออกมา ยอดกับกริ่งช่วยกันดึงตัวเทอดกลับมา ยอดนิ่งคิด เทอดร้องลั่น

“มัวทำอะไรคุณยอด เดี๋ยวก็ได้ไปนอนในท้องกิ้งก่าหรอก”

“ผมแค่คิดอยากให้เหมือนในหนัง พระเอกกำลังจนตรอก แล้วจู่ๆก็มีสัตว์อีกตัวโผล่มาไล่กัดกิ้งก่าตัวแรกหนีไป”

“สัตว์อีกตัวเหรอ” กริ่งถาม

“ช้าง ช้างตัวใหญ่ๆโผล่มาไล่กิ้งก่า” ยอดพูดไม่ทันขาดคำ มีเสียงตึงตังและเสียงกิ้งก่าร้อง

สามหนุ่มโผล่ออกมาดู เห็นช้างตัวใหญ่ต่อสู้กับกิ้งก่า เทอดสบถว่ายอดคิดอะไรก็ได้อย่างนั้น ยอดจึงรีบคิดถึง

นางแบบปฏิทินเซ็กซี่ๆ แต่ไม่เห็นปรากฏ กริ่งรีบบอกให้

หนีจากที่นี่ดีกว่า...สามหนุ่มหลุดออกมาจากเขตภาพลวงตา มาถึงริมลำธาร ต่างวักนํ้าล้างหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน

“ถามจริงๆนะคุณยอด ก่อนที่จะเจอกิ้งก่า คุณกำลัง คิดอะไร” เทอดอดถามไม่ได้

ยอดตอบว่าเขาคิดถึงผู้หญิงสวยๆ เทอดถามอีกว่า คิดถึงกิ้งก่าบ้างหรือเปล่า ยอดบอกมีแว้บๆ เพราะเขาเกลียดสัตว์เลื้อยคลาน เทอดจึงมั่นใจว่าเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของยอดสร้างภาพลวงตานั้นขึ้นมา ยอดถามแล้วทำไมไม่มีสาวสวยออกมาบ้าง

“ผมว่าภาพลวงตามันอาจจะเกิดขึ้นเฉพาะสิ่งที่เรากลัวเท่านั้น”

“แล้วนี่จะมีอะไรโผล่มาอีกหรือเปล่า” กริ่งชักหวั่น

เทอดว่าก็อย่าไปคิดถึงสิ่งที่เรากลัว กริ่งบ่นพูดง่ายแต่ทำยาก เสียงนกร้องจิ้งหรีดระงม ทำให้สามหนุ่มรู้สึกว่าบรรยากาศแตกต่างกับเมื่อครู่ จึงตกลงจะพักค้างแรมตรงนี้...

ขณะที่สตีเฟ่นมาถึงแคมป์ของ ดร.ฟอร์ดก็จัดแบ่งที่พัก นาตาชาให้บุษกรกับกระแตมานอนกับตน แต่สตีเฟ่นแย้งให้สองสาวแยกพักต่างหากดีกว่า ดร.ฟอร์ดรู้ทัน ประกาศให้สามสาวนอนด้วยกัน และสั่งห้ามมีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้น งานต้องมาก่อน สตีเฟ่นผิดหวังเล็กน้อย

ซัมดองซึ่งนั่งหลับตาอยู่ ลืมตาขึ้นแล้วกล่าวว่า “ป่าแถวนี้มีพลังบางอย่างปกคลุม”

“พลังงานของทับทิมสยามสีม่วง” ดร.ฟอร์ดคาดเดา

แต่ซัมดองว่าไม่ใช่ ดร.ฟอร์ดสงสัยยังมีพลังงานอะไรอีก ซัมดองตอบว่า พลังบริสุทธิ์ ใส สะอาด บางเบา แต่แรงกล้า มีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด ดอนเอ่ยขึ้นว่า...พลังพุทธคุณ

“จริงสิ แกมีตาที่สาม แกเห็นใช่มั้ย”

ดอนตอบว่า ตนไม่เห็นแต่สัมผัสได้ ซัมดองหันมาถามเดี่ยว เขาตอบว่าได้ยินเสียงสวดมนต์ สตีเฟ่นว่าตนไม่เห็นได้ยิน ซัมดองอธิบายว่าพวกฝรั่งไม่มีวันเข้าใจเรื่องนี้...

No comments:

Post a Comment